ตลาดหุ้นสหรัฐฯคลายกังวลสงครามตะวันออกกลาง เปิดตลาดดาวโจนส์บวกกว่า 100 จุด

  • นักลงทุนพอใจประธานาธิบดีทรัมป์แถลงไม่ใช้ความรุนแรง
  • เปิดทางเจรจาอิหร่าน-คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแทนสงคราม
  • จับตาดอกเบี้ยเฟด-สภาอังกฤษลงมติร่างกฎหมายเบรทซิท

เมื่อเวลาประมาณ 21.50 น.ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวอยู่ที่ 28,871.25 จุด เพิ่มขึ้น 126.16 จุด หรือ +0.44%ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 9,200.99 จุด เพิ่มขึ้น 71.75 จุด หรือ +0.79% ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 3,268.46 จุด เพิ่มขึ้น 15.41 จุด หรือ +0.47%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ แสดงจุดยืนผ่านแถลงการณ์ว่า สหรัฐจะตอบโต้อิหร่านโดยใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ โดยส่งสัญญาณที่จะทำการเจรจากับอิหร่านเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

“เราจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้มีการบรรลุข้อตกลงกับอิหร่าน ซึ่งจะทำให้โลกปลอดภัยขึ้น และมีสันติสุขมากขึ้น” ปธน.ทรัมป์กล่าว ขณะที่ไม่ได้มีการระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร หลังจากที่อิหร่านใช้ขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรัก ซึ่งคำกล่าวนี้ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหันมาซื้อหุ้นคืน หลังจากที่เทขายหุ้นมาต่อเนื่องหลายวัน

นอกจากนั้น ตลาดยังจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมายังเป็นทิศทางที่ดี โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 220,000 ราย

ทั้งนี้ ตลาดยังจับตา การลงมติต่อร่างกฎหมายข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยสภาสามัญชน หรือสภาล่างของอังกฤษ จะทำการลงมติต่อร่างกฎหมายดังกล่าวในเวลา 24.00 น.ตามเวลาไทย ขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะได้รับการอนุมัติจากสภา หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษประสบความล้มเหลวในการผลักดันข้อตกลง Brexit ผ่านการรับรองของรัฐสภาเป็นเวลานานกว่า 3 ปี

และหากร่างกฎหมายข้อตกลง Brexit สามารถผ่านการอนุมัติจากสภาล่างตามคาดในวันนี้ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาขุนนาง หรือสภาสูงของอังกฤษ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติ ข้อตกลง Brexit ก็จะมีสถานะเป็นกฎหมายภายในไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งจะทันเวลาการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปในวันที่ 31 ม.ค.