ดาวโจนส์เคลื่อนไหวผันผวน มีแรงซื้อสลับขาย ล่าสุดบวกกว่า 17 จุด

.บรรยากาศการลงทุนผันผวน นักลงทุนซื้อหุ้นสลับขายหุ้นลดความเสี่ยง
.นักลงทุนกังวลดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน เพิ่มสูงกว่าคาด
.ตลาดจับตาทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยเฟด-ภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เมื่อเวลาประมาณ 21.55 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 29,243.17 จุดเพิ่มขึ้น
17.56 จุด หรือ +0.06% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 10,822.99 จุด เพิ่มขึ้น 85.48 จุด หรือ +0.80% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ระดับ 3,652.19 จุด เพิ่มขึ้น 11.72 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ยังคงผันผวน ทั้งในแดนลบ และในแดนบวก ในการซื้อขายวันสุดท้ายของเดือนก.ย. และเป็นวันสุดท้ายของไตรมาส 3 นักลงทุนซื้อหุ้นสะสมในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สลับกับการขายหุ้นลดความเสี่ยง โดยจับตาทิศทางอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาการใช้จ่ายสูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยวันนี้ ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นส่วนหนึ่งของมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับเพิ่มขึ้น 4.9% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.7% ในเดือนก.ค.

เทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนส.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% หลังจากทรงตัวในเดือนก.ค. ส่วนดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 6.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 6.4% ในเดือนก.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ค.

ทั้งนี้ จากดัชนีที่จะสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ในวันนี้ มีแนวโน้มว่า ดัชนีดาวโจนส์จะมีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2558 ส่วนดัชนี S&P 500 และแนสแด็ก คอมโพซิส มีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2552

สถาบันวิจัย CFRA ระบุว่า สถิติบ่งชี้ว่า เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี และยิ่งปีนี้ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐ จะทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยิ่งมีแนวโน้มดิ่งลงในเดือนก.ย. เนื่องจากนักลงทุนมักทำการเทขายหุ้นอย่างหนักในเดือนก.ย.และต.ค.ในปีเลือกตั้ง ก่อนที่จะกลับเข้าซื้อหุ้นในไตรมาส 4