ดาวโจนส์ปิดลบ 526 จุด เงินเฟ้อพุ่งแรงกว่าคาด -เร่งเฟดขึ้นดอกเบี้ย

.ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 7.5% ในเดือนม.ค.สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
.ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ 223,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาด
.นักลงทุนตื่นตระหนกขายหุ้นลดความเสี่ยงในทุกกลุ่ม คาดเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 10 ก.พ. ที่ 35,241.59 จุด ลดลง 526.47 จุด หรือ -1.47%,
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,504.08 จุด ลดลง 83.10 จุด หรือ -1.81% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพวิส ปิดที่ 14,185.64 จุด ลดลง 304.73 จุด หรือ -2.10%

ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวผันผวน โดยแกว่งขึ้นลงในช่วงแคบๆ ในช่วงแรกของการเปิดตลาด และไหลร่วงลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.5% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2525 หรือสูงสุดในรอบ 40 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.2% จากระดับ 7.0% ในเดือนธ.ค. ซึ่งส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

นอกจากนั้น ตัวเลขตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ยังเอื้อต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้

โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 223,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว

ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดที่มีสิทธิ์โหวตในปีนี้ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กว่า เขาเปิดกว้างสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมี.ค. และเขาต้องการเห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% ภายในวันที่ 1 ก.ค.นี้ โดยการแสดงความเห็นของนายบูลลาร์ดมีขึ้นไม่นานหลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI เดือนม.ค.เมื่อคืนนี้ตามเวลาไทย

เคธี บอสต์แจนซิค นักวิเคราะห์จากบริษัท Oxford Economics กล่าวว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 2% ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย

มีแรงเทขายหุ้นกระจายในทุกกลุ่ม โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 2.75% และดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริทรัพย์ดิ่งลง 2.86% ทั้งนี้ หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ร่วงลง 1.69% หุ้นเทสลา ดิ่งลง 2.95% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.1% ห้นแอปเปิล ร่วงลง 2.32% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 2.84%

หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 1.98% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 ที่ระดับ 33 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 35 เซนต์ และจำนวนผู้ใช้บริการรายวันอยู่ที่ระดับ 217 ล้านราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 218 ล้านราย

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดัชนีปรับลดลงเช่นกัน โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ ลดลง 1.86% หุ้นอาร์มาดา ฮอฟเฟอร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ร่วงลง 1.59% หุ้นฮัดสัน แปซิฟิก พร็อพเพอร์ตี้ส์ ปรับตัวลง 0.25% หุ้นอเมริกัน เรียลตี้ อินเวสเตอร์ส ทรุดตัวลง 6.76%

หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ พุ่งขึ้น 3.35% หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2565 โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.06 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 63 เซนต์ ส่วนยอดสมัครสมาชิกดิสนีย์พลัส อยู่ที่ 129.8 ล้านราย สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 125.75 ล้านราย