ดาวโจนส์ปิดลบ 152 จุด กังวลเงินเฟ้อสูง-อัตราผลตอบ แทนพันธบัตรลด

.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1.50%
.นักลงทุนขายหุ้นออกบ้างเพื่อถือเงินสด จับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อคืนนี้
.หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม-แบงก์ปรับลด แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับดีขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 9มิ.ย.ที่ 34,447.14 จุด ลดลง 152.68 จุด หรือ -0.44% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,219.55 จุด ลดลง 7.71 จุด หรือ -0.18% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 13,911.75 จุด ลดลง 13.16 จุด หรือ -0.09%

นักลงทุนขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง ขณะรอดูทิศทางเงินเฟ้อและนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปในวันนี้ ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินนโยยายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ที่จะมีการประชุมในช่วงวันที่ 15-16มิ.ย.นี้

หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 1.06% และ 1.03% ตามลำดับ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1.50% เมื่อคืนนี้ และต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 100 วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2563

หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.31% หุ้นเจพีมอร์แกน ดิ่งลง 1.25% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 0.5% หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.86% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2.29% หุ้น 3M ลดลง 0.43%

อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรช่วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย โดยหุ้นแอปเปิล บวก 0.31% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นแอมะซอน ดีดขึ้น 0.52% หุ้นอัลฟาเบท บวก 0.4%

ดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพพุ่งขึ้น 1% หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีแผนที่จะบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับ 100 ประเทศทั่วโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยหุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 2.47% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ดีดตัวขึ้น 1.35% หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 2.08% หุ้นอิไล อิลลี่ (Eli Lilly) พุ่งขึ้น 2.4%

หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.27% หลังจากบริษัทเมอร์คประกาศว่า รัฐบาลสหรัฐมีแผนที่จะซื้อยา Molnupiravir ของเมอร์คจำนวน 1.7 ล้านชุดสำหรับใช้ในการทดลองรักษาโรคโควิด-19 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์ หากยาดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐ

สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 3.1% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งขึ้น และสต็อกบ้านที่ตึงตัว แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวลง

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนมี.ค.

นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค.ในวันนี้ ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค จะพุ่งขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากดีดตัวขึ้น 4.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551