ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯเปิดตลาดบวก ต่อสบายใจเฟลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2

  • แม้เฟดยังไม่ได้ส่งสัญญาณลลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
  • จับตาความคืบหน้า “จีน-สหรัฐฯ” เจรจาการค้า
  • สบายใจตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯดีกว่าที่คาด

เมื่อเวลาประมาณ 21.45 น.ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 27,245.28 จุด บวกเพิ่มขึ้น 98.20 จุดหรือ +0.36% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิท เคลื่อนไหวอยู่ที่ 8,230.45 จุด บวกเพิ่มขึ้น 53.06 จุด หรือ +0.65% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ 3,019.57 จุด บวกเพิ่มขึ้น 12.84 จุด หรือ 0.43%

นักลงทุนยังคงรับข่าวดีจาก มติของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% ต่อเนื่องเป็นเป็นครั้งที่ 2 ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมวานนี้

แต่เฟด และนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนในปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ออีกในปีนี้ หรือปีหน้า โดยระบุ ว่าเป็นการดูแลตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฟดจะดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง หากมีความจำเป็น แต่อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ส่งผลให้เกิดแนวโน้มผ่อนคลายดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก

ขณะที่นักลงทุนกลับจับตาความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในระดับรัฐมนตรีช่วยในวันนี้ เพื่อปูทางการประชุมระดับรัฐมนตรีในเดือนหน้า

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ระดับ 208,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 213,000 ราย

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯว่า การขาดดุลลดลง 5.9% สู่ระดับ 1.282 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 2 จากระดับ 1.362 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 1 ได้รับแรงหนุนจากการลดลงของการนำเข้าน้ำมันใกล้เคียงกับนักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้าว่า ตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะอยู่ที่ระดับ 1.278 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

แต่ในภาพรวมของเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้ฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยOECD ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ สู่ระดับ 2.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2551-2552 และลดลงจากระดับ 3.6% ในปีที่แล้ว