“ชัชชาติ”ร่วมวงถกแผนบริหารจัดการน้ำ ดึงกรมชลฯ ประสานระบายข้ามจังหวัด

  • ชี้ เป็นผลงานหลายผู้ว่าฯ
  • วางรากฐานมานาน

วันที่ 17 ก.ย. 2565 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ประชุมร่วมกับ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน เพื่อเตรียมการป้องกันและลดผลกระทบน้ำท่วม ณ ห้องประชุมโรงเรียนกุศลศึกษา วัดชัยพฤกษมาลาราชวรวิหาร เขตตลิ่งชัน
 
จากนั้น นายชัชชาติ กล่าวว่า การประชุมวันนี้ได้สรุปให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว สภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงมีความชัดเจนขึ้น ฝนที่เพิ่มขึ้นก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน สอดคล้องกับที่เราเห็นว่าช่วงเดือนที่ผ่านมาที่ฝนตกที่เพิ่มขึ้น 150% ในช่วงต้นเดือนแรกของเดือนกันยายน เป็นผลให้เกิดน้ำท่วม ซึ่งแผนการรองรับต้องคุยกันในรายละเอียดให้ยาวขึ้นว่าจะปรับยุทธศาสตร์อย่างไร จะวางแผนโครงการอย่างไร ซึ่งอาจารย์เสรีก็ได้ให้คำแนะนำในการวางแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
  
สำหรับระยะสั้น ต้องมีการบัญชาการจาก กทม. จัดให้ผู้อำนวยการเขตเป็นผู้บัญชาการส่วนหน้า ซึ่งเราก็ทำอยู่แล้ว โดยมีสำนักการระบายน้ำเป็นตัวกำกับ จะเห็นภาพรวมของน้ำทั้งหมด การจัดทำยุทธศาสตร์ทั้งปลัด รองปลัด และสำนักการระบายน้ำ โดยมี ผอ.เขต เป็นหน่วยส่วนหน้า อีกทั้งที่ รศ.ดร.เสรี พูดมาเป็นสิ่งที่ดีมากๆ การเอาชุมชนและประชาชนเข้ามาเป็นส่วนร่วม อย่าให้เขารอให้เราเข้าไปแก้ปัญหา ให้เอาเขามาเป็นส่วนร่วมในการชี้ปัญหาและเป็นคำตอบให้เราด้วย จริงๆ แล้วเรามีแนวร่วมอีกเป็นแสนเป็นล้านคนในพื้นที่ซึ่งจะทำให้เราแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ผู้ว่าฯ กทม. ยังยกตัวอย่างเมื่อวานนี้ (16 ก.ย. 2565) ไปลงพื้นที่ในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งมีจุดที่น้ำรั่วเข้ามา ประชาชาอยู่ในพื้นที่เขาชี้จุดได้เลย ไม่ต้องรอให้น้ำเข้ามาก่อน การลงพื้นที่ในหลายๆ แห่งประชาชนจะเป็นคนพาไปชี้ว่าตรงไหนจุดอ่อน เราอาจจะทำเป็นแนวร่วมหรือหน่วยอาสากู้น้ำท่วมในชุมชน กทม. อาจจะให้ทรัพยากรไปช่วย เช่น กระสอบทราย เมื่อถึงเวลาเขาก็อาจจะมาช่วยอุดช่วยอะไรได้โดยที่เรายังไม่ทันเข้าไป โดยดำเนินการบรรเทาไปก่อน เป็นการยับยั้งวิกฤติไปก่อน รวมถึงการให้ข้อมูลน้ำ ข้อมูลปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ เป็นสิ่งที่เราต้องไปพัฒนากันต่อ
 
ส่วนในระยะยาวที่ รศ.ดร.เสรี พูดถึง จะเป็นการร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมชลประทาน จังหวัดต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าดูจากแผนการระบายน้ำของ กทม.ที่ผ่านมา เราจะระบายน้ำไปในพื้นที่ของเราเอง จากแสนแสบมาที่ประตูระบายน้ำพระโขนง ลาดพร้าวมาออกบางซื่อ ก็อยู่ในพื้นที่ กทม. ทั้งหมด ลาดกระบังมาออกประเวศ ทำให้ทุกอย่างมันไหลมาอยู่ที่ตรงกลางทั้งหมด แต่ในอนาคตไม่ได้แล้ว ต้องดูน้ำในภาพรวม
  
นายชัชชาติ เผยต่อไปว่า จริงๆ แล้วแต่ละจังหวัดต้องพูดคุยกัน โดยมีกรมชลประทานเป็นตัวเชื่อมประสาน ถ้าแต่ละจังหวัดระบายน้ำเองไม่ได้แน่ ต้องมีการหารือกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ กทม.ต้องเป็นเจ้าภาพในการหารือร่วมกับปริมณฑล ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำอย่างเดียว เรื่องฝุ่น PM 2.5 ก็คล้ายๆ กัน ฝุ่นก็ลอยข้ามไปข้ามมา เรื่องมลพิษ การจราจร ที่อยู่อาศัยต่างๆ เป็นแนวทางที่จะต้องร่วมมือกันมากขึ้นในอนาคต

“จริงๆ แล้วแผนบริหารจัดน้ำก็มีการวางรากฐานมานาน ผู้ว่าฯ หลายท่านที่ผ่านมาก็ได้วางสิ่งดีๆ เอาไว้ ก็นำมาปรับปรุงบ้างหรือว่าเพิ่มเติมเข้าไป เป็นสิ่งที่ทำกันมานาน โครงสร้างพื้นฐานไม่ได้เพิ่งทำนะ ทำมาหลายผู้ว่าฯ แล้ว ทำต่อเนื่องกันมา อุโมงค์ระบายน้ำก็เป็นผลงานของหลายผู้ว่าฯ ถือว่าเป็นเนื้อเดียวกัน เอาแผนมาปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น”

ทางด้าน รศ.ดร.เสรี กล่าวขอบคุณผู้ว่าฯ กทม.ที่มาร่วมพูดคุยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวชุมชนตลิ่งชัน รวมถึงจังหวัดรอยต่อซึ่งก็พร้อมรับน้ำ แต่ด้วยในข้อจำกัดต่างๆ ผู้ว่าฯ กทม.ก็มีนโยบายและแผนการที่ชัดเจน ทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง ถึงระยะยาว มีความตั้งใจเกินร้อย ความตั้งใจที่ท่านมีคิดว่าประชาชนต้องสบายใจ อีกทั้งผู้ว่าฯ กทม. และรองผู้ว่าฯ กทม. มีความรู้พื้นฐานในด้านนี้ เราจึงไม่กังวลในเรื่องแผนและนโยบายการบริหารจัดการ อนาคตข้างหน้าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และผู้ว่าฯ กทม. ก็รับปากว่าจะวางรากฐานให้ ถ้ามีผู้ว่าฯ คนใหม่มาก็คงต้องเดินตามนโยบาย หากไม่เดินแล้วก็จะติดขัดอีก พร้อมขอบคุณที่จะวางรากฐานไว้ให้

ขณะที่ ดร.ธเนศร์ กล่าวเสริมว่า กรมชลประทาน เป็นหน่วยงานระดับปฏิบัติที่ต้องดูตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ซึ่งได้มีการทำงานร่วมกับสำนักการระบายน้ำ กทม. จะเห็นว่าการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกเขตลาดกระบัง คลองประเวศ คลองแสนแสบ เราพยายามติดตั้งเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ เร่งระบายน้ำในแนวเหนือใต้ให้ลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด.