“กลุ่มบางจาก” โกยครึ่งปีแรก’65 ตุนรายได้กว่า 1.52 แสนล้าน ธุรกิจโรงกลั่น/ค้าน้ำมันโต ลั่นครึ่งปีหลังสร้างสมดุลพลังงาน

  • กลุ่มบางจากฯ โชว์ครึ่งปีแรก’65 โกยรายได้รวม 152,852 ล้านบาท 
  • จากธุรกิจหลักโรงกลั่น การค้าน้ำมัน และธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ เผยมีปัจจัยหนุนราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 
  • เกาะติดครึ่งปีหลังน้ำมันตลาดโลก ลั่นพร้อมลุยสร้างสมดุลพลังงานสู่ความยั่งยืน

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจาก เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทบางจากและบริษัทย่อยช่วงครึ่งปีแรก 2565  มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 152,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80 % เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ทำกำไรก่อนหักภาษีหรือ EBITDA 26,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 192 % ผลการดำเนินงานเป็นไปตามอุปสงค์หรือความต้องการใช้น้ำมันฟื้นตัวท่ามกลางอุปทานยังคงตึงตัว รวมทั้งสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 9,633  ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น6.91 บาท ช่วงครึ่งปีหลังวางแผนเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ และพร้อมรับมือภาวะเงินเฟ้อและแรงกดดันเศรษฐกิจโลกด้วย

ช่วงครึ่งปีแรกรายได้และ EBIDA เพิ่มขึ้นเพราะส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 เป็นต้นมา ปรับเพิ่มจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจาก “อุปสงค์” ฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางฟื้นตัว ส่วน “อุปทาน”น้ำมันยังมีความตึงตัวจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ โดยกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยครึ่งแรกปี 2565 อยู่ที่ 102.17 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกปี 2564 จำนวน 38.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือ 61 %
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มี Inventory Gain 8,451 ล้านบาท จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ธุรกิจในเครือขยับดังนี้

กลุ่มที่ 1 ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 11,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมีค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนโรงกลั่นบางจากฯ ยังคงกำลังการผลิตเฉลี่ยสูงในระดับ 122.3 พันบาร์เรลต่อวัน หรือ คิดเป็น 102 % ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น

ทางด้านธุรกิจการค้าน้ำมัน โดย BCPT ปรับตัวดีขึ้นจากกำไรต่อหน่วยของการซื้อขายผลิตภัณฑ์
กลุ่มแก๊สโซลีน / แนฟทาปรับสูงขึ้น พร้อมรับรู้กำไรจากการเข้าทำสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า

กลุ่มที่ 2 ธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากปริมาณการจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 
คลี่คลายลง ค่าการตลาดรวมสุทธิต่อหน่วยปรับลดลงเล็กน้อย ภายใต้ภาวะราคาน้ำมันสูง บริษัทฯ ได้จัดทำโครงการ“ลิตรละบาท” มอบคูปองส่วนลดการเติมน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอีกทาง

พร้อมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพและขยายธุรกิจ Non-Oil เร่งเดินหน้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรด้านธุรกิจร้านอาหารชั้นนำ ร้านอาหารสตรีทฟู้ด เพื่อรองรับวิถีชีวิตยุคใหม่ให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อยอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายขึ้นปัจจุบันมีร้านอาหารแบบเครือข่ายเปิดให้บริการในสถานีบริการน้ำมันบางจากเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มที่ 3 ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA รวม 4,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 3 โครงการ ได้แก่ ยาบุกิ กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ โคมากาเนะ กำลังการผลิตตามสัญญา 25 เมกะวัตต์ และชิบะ 1 กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ และรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. (“SEGHPL”) 2,031 ล้านบาท

กลุ่มที่ 4 ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA รวม 437 ล้านบาท ลดลง 39 % เมื่อเทียบกับ
ช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาขายไบโอดีเซล (B100) ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ ส่วนกำไรขั้นต้นปรับลดลง โดยหลักมาจากธุรกิจไบโอดีเซลและธุรกิจเอทานอลมีปริมาณการจำหน่ายที่ปรับลดลง

ขณะที่ราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ผลิตปรับเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง(High Value Products (HVP)) BBGI ได้เข้าลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ไบโอม จำกัด (“ไบโอม”) ซึ่งเป็นบริษัท Spin Off แห่งแรกของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อต่อยอดมูลค่างานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

ทาง BBGI ได้รับสิทธิเป็นรายแรกในการนำผลงานวิจัยของไบโอมมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะงานวิจัยผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้เทคโนโลยี Synthetic Biology (ชีววิทยาสังเคราะห์) รวมถึงผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่น ๆ

รวมถึง บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด (BBGI ถือหุ้น 51%) ได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ สิงคโปร์ไพรเวท ลิมิเต็ด มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพและให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการค้าเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มที่

กลุ่มที่ 5 ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 7,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 192 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานของ OKEA รอบครึ่งปีที่ผ่านมามี EBITDA เพิ่มขึ้น 288 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าโดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาดโลก อีกทั้งปริมาณจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้น 11 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากแหล่ง Gjøa และ Yme

นอกจากนี้ OKEA ได้ลงนามในสัญญาซื้อแหล่งปิโตรเลียมในทะเลเหนือ 3 แหล่ง จากบริษัท Wintershall Dea Norge AS ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสสุดท้าย และช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในปี 2565 ของ OKEA อีกประมาณ 5,000 – 6,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน

ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัท ฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและให้บริการ 83,796 ล้านบาท EBITDA 12,572 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 5,276 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.79 บาท โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันได้รับปัจจัยบวกจาก Operating GRM ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจัยดังกล่าวช่วยบรรเทาผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาขายก๊าซธรรมชาติไปจำหน่ายในประเทศอังกฤษปรับลดลงอย่างมาก รวมทั้งการอ่อนค่าของสกุลเงินโครนนอร์เวย์ (NOK) เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2565 คาดการณ์ราคาน้ำมันจะปรับลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงกดดันความกังวลเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอย 
จากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างเร็วและธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตามกลุ่มบางจากฯ ยังคงติดตามและประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนธุรกิจให้เหมาะสม บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอกับการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งมีแผนจะออกและเสนอขายหุ้นกู้ช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 เพื่อเตรียมพร้อมรองรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและราคาน้ำมันที่ผันผวน พร้อมทั้งเร่งการลงทุนเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ สร้างความยั่งยืนให้ทุกภาคส่วนต่อไป

เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen