กรมประมงเดินหน้าพัฒนาเพาะพันธุ์”ปลาพลวงชมพู”สัตว์น้ำ เศรษฐกิจสำคัญชายแดนใต้-หลังราคาพุ่ง กก.ละ3พันบาท

กรมประมงเดินหน้า “โครงการพัฒนาเทคโนโลยีระบบเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์และระบบเพาะพันธุ์ปลาพลวงชมพู” สัตว์น้ำเศรษฐกิจสำคัญชายแดนใต้ เป็นปลาน้ำจืดซึ่งเป็นที่ต้องการของทั้งในและต่างประเทศ แต่หาในธรรมชาติได้ยากแล้ว ล่าสุดพัฒนาสูตรอาหารที่ทำให้พ่อแม่พันธุ์มีความสมบูรณ์เพศสามารถผสมเทียมและลูกปลามีอัตรารอดสูง

นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า สั่งการให้กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดร่วมกับกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดและกองวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์น้ำจัดทำ “โครงการพัฒนาเทคโนโลยีระบบเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์และระบบเพาะพันธุ์ปลาพลวงชมพู” เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตลูกปลาพลวงชมพู โดยมีเป้าหมายให้พ่อแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูรุ่นลูกมีความสมบูรณ์เพศจนนำมาใช้เพาะพันธุ์โดยวิธีผสมเทียมได้ รวมทั้งสามารถผลิตไข่พร้อมลูกพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง มีอัตราการรอดสูง เพียงพอสำหรับการส่งเสริมให้เกษตรกรจังหวัดชายแดนภาคใต้นำไปต่อยอดเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งเป็นการอนุรักษ์ให้สัตว์น้ำชนิดนี้คงอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยมีแผนการดำเนินการระยะเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2564 – 2566 ) โดยในปี 2564 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ด้วย

ทั้งนี้ ปลาพลวงชมพู (Tor douronensis) เป็นปลาน้ำจืดหายากประจำท้องถิ่นในจังหวัดยะลาและนราธิวาสที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเนื่องจากมีรสชาติดีเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 2,500 – 3,500 บาท ทำให้ปลาชนิดนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากปลาพลวงชมพูเป็นปลาที่โตช้า ดูแลค่อนข้างยาก ซึ่งจากการศึกษาของกรมประมงพบว่า ปลาชนิดนี้โดยธรรมชาติสามารถวางไข่ได้ปีละ 1 ครั้ง และได้ไข่เพียง 500 ฟองต่อแม่ ที่สำคัญการเพาะพันธุ์ปลาพลวงชมพูโดยวิธีผสมเทียมในแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้พ่อแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูที่รวบรวมจากธรรมชาติ เนื่องจากปลาพลวงชมพูรุ่นลูกที่นำมาเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์ยังไม่สามารถนำมาใช้ในการเพาะพันธุ์ได้เพราะไม่มีความสมบูรณ์เพศอีกทั้งขั้นตอนการฟักไข่แบบเดิมในบ่อซีเมนต์ยังประสบกับปัญหาการติดเชื้อราทำให้ไข่มีอัตราฟักเป็นตัวต่ำ จึงจำเป็นต้องเร่งศึกษาเพื่อพัฒนาการวิจัยในเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

ด้านนายธเนศ พุ่มทอง ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาสูตรอาหารสำหรับเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูให้มีความสมบูรณ์เพศ โดยการใช้สารเสริมในกลุ่มแคโรทีนอยด์(carotenoid) เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบพันธุ์และเพิ่มคุณภาพของไข่ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อีกทั้งได้มีการพัฒนาระบบฟักไข่ปลาพลวงชมพูแบบราง โดยใช้ระบบน้ำไหลผ่านแบบหมุนเวียนที่มีระบบการควบคุมอุณหภูมิของน้ำแบบอัตโนมัติ มีการฆ่าเชื้อในน้ำโดยใช้แสงอัลตราไวโอเลท ตลอดจนพัฒนาต้นแบบระบบการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูในโรงเพาะฟักอัจฉริยะแบบปิด ที่มีระบบทำความเย็นแบบ Evaporative Cooling System และใช้ระบบน้ำหมุนเวียน (Recirculating water system) ที่มีระบบการควบคุมคุณภาพของน้ำแบบอัตโนมัติทั้งในช่วงระยะเวลาเลี้ยงและระยะเวลาก่อนการผสมพันธุ์เพื่อให้มีความเหมาะสมกับการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์เพศของพ่อแม่พันธุ์ จนกระทั่งสามารถนำมาเพาะพันธุ์ได้ในที่สุด

สำหรับผลการทดลองเบื้องต้นของการให้พ่อแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูรุ่นลูกที่ได้จากการเพาะพันธุ์ในปี 2556 (รุ่น P0) กินสารเสริมที่มีรงควัตถุแคโรทีนอยด์ และเลี้ยงในระบบน้ำหมุนเวียน ที่มีการควบคุมอุณหภูมิของน้ำแบบอัตโนมัติพบว่า สามารถกระตุ้นให้พ่อแม่พันธุ์รุ่นลูก (รุ่น P0) มีความสมบูรณ์เพศมากขึ้น พร้อมสำหรับการผสมพันธุ์วางไข่และการใช้ทดลองเพาะพันธุ์ โดยจากผลการทดลองเพาะพันธุ์ในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ที่ผ่านมาสามารถคัดเลือกแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูที่มีไข่สมบูรณ์ได้ 45 ตัว นำมาเพาะพันธุ์ปลาพลวงชมพูโดยวิธีผสมเทียม น 8 ครั้ง จนประสบความสำเร็จสามารถรีดไข่ผสมเทียมได้ 21 ตัว คิดเป็น 47% ได้ลูกพันธุ์ปลาพลวงชมพูทั้งหมด 12,043 ตัว

และยังมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากในเดือนมิถุนายน – กันยายน สามารถเพาะพันธุ์ปลาพลวงชมพูได้อีก 3 ครั้ง โดยสามารถคัดเลือกแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูที่มีไข่สมบูรณ์ได้ 14 ตัว นำมาเพาะพันธุ์ และประสบความสำเร็จในการรีดไข่ผสมเทียม 8 ตัว คิดเป็น 57% ได้ลูกพันธุ์ปลาพลวงชมพูทั้งหมด 4,366 ตัว ซึ่งจากผลสำเร็จของกรมประมงในครั้งนี้นับว่า เป็นแนวทางในการพัฒนาด้านอาหารสำหรับพ่อแม่พันธุ์ตลอดจนการพัฒนาระบบเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์และระบบฟักไข่ปลาพลวงชมพูให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถผลิตลูกพันธุ์ปลาพลวงชมพูให้ได้ปริมาณมากอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี