เปิด 12 วิธีลดความเสี่ยง-ป้องกันอันตรายจาก “ไฟดูด”

ไฟดูด
ระวังไฟดูด


จากกรณีมีคนเสียชีวิตจาก ไฟดูด โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน ดังนั้นจึงทางเว็บไซต์จึงตระหนักว่า ยังมีหลายคนที่หากเกิดเช่นนี้ขึ้น ยังไม่สามารถช่วยเหลือคนโดนไฟดูด หรือ รับมือเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที

วันนี้ เว็บไซต์ thejournalistclub จึงได้นำข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย มาเสนอ เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกคนลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

วิธีลดเสี่ยงอันตรายจากไฟฟ้าดูด

1. ตรวจสอบ อุปกรณ์ไฟฟ้า ที่อยู่ภายนอกอาคารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เช่น กริ่ง โคมไฟ เป็นต้น ควรเลือกใช้อุปกรณ์ชนิดกันน้ำ รวมถึงติดตั้งสายดิน และเครื่องตัดกระแสไฟฟ้ารั่ว เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้ถูกไฟฟ้าดูด

2. ห้ามใช้หรือสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้าในขณะที่ร่างกายเปียกชื้น หรือยืนบนที่ชื้นแฉะ เพราะหากมีกระแสไฟฟ้ารั่ว จะได้รับอันตรายจากไฟฟ้าดูด

3. เพิ่มความระมัดระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำ และอยู่บริเวณพื้นที่ชื้นแฉะเป็นพิเศษ เช่น ปั๊มน้ำ เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น เพราะหากมีกระแสไฟฟ้ารั่ว จะทำให้ได้รับอันตราย เพื่อความปลอดภัย ควรสวมรองเท้าทุกครั้งที่ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าในบริเวณที่ชื้นแฉะ จะช่วยป้องกันไฟฟ้าดูด

4. ไม่ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยตัวเอง เนื่องจากความไม่ชำนาญ และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้

5. กรณีน้ำท่วมบ้าน ให้ตัดกระแสไฟฟ้า ปิดสวิตช์ไฟ ขนย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้นที่สูง พ้นจากระดับที่น้ำท่วมถึง เพื่อป้องกันไฟฟ้าดูด และเครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับความเสียหาย

6. ไม่นำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมมาใช้งาน เพราะเสี่ยงต่อการได้รับอันตราย

การป้องกันอุบัติภัยจาก ไฟดูด

1. เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ภายนอกอาคาร ควรเลือกใช้แบบกันน้ำและมีฝาครอบปิด เพื่อป้องกันฝนสาดและน้ำรั่วซึม

2. ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าดูด อาทิ เครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ เบรกเกอร์ควบคุมไฟ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีโครงหรือวัสดุหุ้มเป็นโลหะ เช่น ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ไมโครเวฟ ตู้น้ำดื่ม เป็นต้น ควรติดตั้งสายดิน หากกระแสไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าจะไหลลงสู่พื้นดิน จึงช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด

3. โค่นต้นไม้และตัดแต่งกิ่งไม้ที่พาดแนวสายไฟฟ้า เพื่อป้องกันพายุลมแรงพัดต้นไม้ล้มทับ หรือเกี่ยวสายไฟขาด ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่อยู่บริเวณดังกล่าว  

4. การช่วยเหลือและปฐมพยาบาลผู้ที่ถูกไฟฟ้าดูด รีบตัดกระแสไฟฟ้า โดยปิดสวิตช์ ปลดปลั๊กไฟ และสับคัตเอาท์ หากไม่สามารถตัดกระแสไฟฟ้าได้ ให้นำวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ผ้าแห้ง หนังสือพิมพ์ เป็นต้น เขี่ยสายไฟให้หลุดจากตัวผู้ถูกไฟฟ้าดูด หรือใช้เชือกคล้องและดันตัวผู้ถูกไฟฟ้าดูดให้หลุดจากบริเวณที่มีกระแสไฟฟ้ารั่ว โดยผู้เข้าช่วยเหลือต้องยืนบนพื้นแห้ง และสวมรองเท้ายาง

5. ห้ามใช้มือหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสผู้ถูกไฟฟ้าดูด ในขณะที่ยังไม่ตัดกระแสไฟฟ้า รวมถึงห้ามช่วยเหลือผู้ถูกไฟฟ้าดูดในขณะที่ร่างกายเปียกชื้น หรือยืนบนพื้นที่ชื้นแฉะ เพราะจะได้รับอันตรายจากไฟฟ้าดูด

6. ปฐมพยาบาลผู้ถูกไฟฟ้าดูด ด้วยการปั๊มหัวใจ โดยจัดให้ผู้ถูกไฟฟ้าดูดนอนบนพื้นราบ จากนั้นทำการผายปอดและนวดหัวใจ จนกว่าผู้ถูกไฟฟ้าดูดจะหายใจเองได้ พร้อมรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ การเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน และการเรียนรู้วิธีใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างถูกวิธี จะช่วยป้องกันอุบัติภัยจากไฟฟ้า ทำให้การดำเนินชีวิตในช่วงฤดูฝนเป็นไปด้วยความปลอดภัย

ส่วนคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ระบุถึงวิธีช่วยเหลือผู้ที่ถูกไฟดูดอย่างถูกต้อง ดังนี้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

1.ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ถูกไฟดูด ไฟช๊อตให้เร็วที่สุด และ ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องป้องกันอันตรายไฟฟ้าดูดผู้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือด้วย บ่อยครั้งพบว่าผู้เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่ได้ระวังตรงจุดนี้ กลับถูกกระแสไฟฟ้าดูดเสียชีวิตไปด้วย ถ้าพบแหล่งไฟฟ้ารั่ว

ควรพยายามหาทางตัดวงจรไฟฟ้าเสียก่อน หรือ ผู้ป่วยถูกไฟฟ้าแรงสูงดูด และมีสายไฟพาดผ่านตัวผู้ป่วยอยู่ เราต้องหาวัสดุที่เป็นฉนวนไม่นำกระแสไฟฟ้าเช่น ไม้ เขี่ยเอา สายไฟออกจากตัวผู้ป่วยก่อนๆ ที่จะเข้าไปช่วยเหลือ

นอกจากนั้นต้องพยายามตรวจดูให้ละเอียดถึง บาดเจ็บที่อาจเกิดร่วมกับผู้ป่วยที่ถูกไฟฟ้าดูดได้เช่น อาจพลัดตกจากที่สูง อาจมีบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือ กระดูกส่วนต่างๆเช่น กระดูกคอ กระดูกแขนขา กระดูกสันหลังหักร่วมด้วย เพราะ ฉะนั้นต้องให้ความเอาใจใส่และระมัดระวังในจุดนี้โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากที่เกิดเหตุ เพราะถ้าทำไม่ถูกต้องอาจเกิดความพิการอัมพาตตามมาได้

2.ตรวจดูหัวใจว่าหยุดเต้นหรือไม่ เพราะ กระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ไหลผ่านหัวใจอาจทำให้คลื่นหัวใจหยุดเต้นได้ โดยใช้นิ้วมือคลำดูจากการเต้นของชีพจรบริเวณคอ ถ้าหัวใจหยุดเต้น ต้องทำการนวดหัวใจไปพร้อมๆกับการผายปอด

3.หลังจากช่วยเหลือผู้ป่วยออกมาได้แล้วให้นำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการปฐมพยาบาล และวิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง (ควรทำอย่างไร และควรนำส่งแพทย์ภายในระยะเวลาเท่าไร)

ส่วนใหญ่ผู้เข้าไปช่วยเหลือมักลืมคิดไปว่าตัวเองอาจเสี่ยงอันตรายได้เช่นกัน เพราะบ่อยครั้งลืมตัดวงจรไฟฟ้า ทำให้ตนเองถูกไฟฟ้าดูดไปด้วย ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องตัดไฟฟ้าที่ลัดวงจร และ คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองก่อนช่วยเหลือผู้ถูกไฟฟ้าดูด

หลังจากตัดวงจรไฟฟ้าแล้ว ให้พยายามแยกผู้ได้รับบาดเจ็บออกจากที่เกิดเหตุไปยังที่ปลอดภัยโดยเร็ว และทำการเคลื่อนย้ายอย่างถูกต้องเพราะผู้ป่วยอาจมีบาดเจ็บในอวัยวะอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ถ้าถูกไฟฟ้าช๊อตในขณะที่ทำงานในที่ๆสูงเช่น ต้องปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้า เมื่อถูกไฟฟ้าดูดหมดสติอาจตกจากที่สูง อาจมีกระดูกคอ กระดูกสันหลัง กระดูกแขนขาหักได้

เมื่อย้ายผู้ป่วยไปยังที่ปลอดภัยแล้วให้ดูว่ายังมีการเต้นชีพจรหรือไม่ ถ้าไม่มีให้ทำการนวดหัวใจและผายปอด และ เรียกรถพยาบาลฉุกเฉินนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ส่วนในกรณีที่ถูกไฟฟ้าบ้านดูด ผู้ป่วยอาจไม่ได้รับอันตรายรุนแรงมากนักเพราะเป็นไฟฟ้าแรงต่ำ

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่บ่งบอกถึงความรุนแรงของการบาดเจ็บจากไฟฟ้าดูด ไฟช๊อต คือ ระยะเวลาที่สัมผัสกับกระแสไฟฟ้า เพราะ ถ้าร่างกายสัมผัสกับกระแสไฟฟ้านาน ก็จะเกิดการทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายมากขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : แผน PDP ใหม่ มีเม็ดเงินลงทุนโครงการ ไฟฟ้า กว่า 1 ล้านล้านบาท

: เว็บไซต์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย