คนละครึ่ง โอนแล้วจ้า! “นายก”ห่วงใยกลุ่มตกหล่นสั่งขยายทบทวนสิทธิถึง 31 ต.ค.64

  • ย้ำ 4 ต.ค. ใช้คนละครึ่ง – ยิ่งใช้ยิ่งได้ ผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ได้
  • มาตรการคนละครึ่ง -เงินเยียวยานายจ้าง–ผู้ประกันตน
  • สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ กว่า 9.1 หมื่นล้าน

วันที่ 1 ตุลาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (1 ตุลาคม 2564) กระทรวงการคลัง ได้โอนเงินคนละครึ่งรอบที่ 2 จำนวน 1,500 บาท เข้าแอปฯ เป๋าตัง แล้วโดยนำไปรวมกับวงเงินสิทธิคงเหลือจากในรอบแรกให้อัตโนมัติ ส่วนประชาชนที่ลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 3 หลังวันที่ 1 ตุลาคม นั้นจะได้รับวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,000 บาท กระตุ้นให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยรวมของมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม  39.08 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 78,611.1 ล้านบาท แบ่งเป็น 

1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 24.33 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 67,604.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 34,403.7 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 33,200.7 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 77,241 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 2,360 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 98.9 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.53 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 7,983 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.14 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 564.8 ล้านบาท

ทั้งนี้ในวันที่วันที่ 4 ตุลาคม เป็นต้นไป ประชาชนจะสามารถใช้สิทธิคนละครึ่งเฟส 3 และยิ่งใช้ยิ่งได้ ผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ อย่าง GRAB และ LINE MAN ได้ โดยตอนนี้มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 30,000 ราย ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเข้าถึงบริการได้มากขึ้น สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ New Normal ในยุคโควิด-19 และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในไตรมาสที่ 4 ระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคมของปี 2564 ให้ขยายตัวมากขึ้นด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมสำหรับความคืบหน้าโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน ม. 33 ม. 39 และ ม. 40 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ใน 29 จังหวัดล็อกดาวน์ 9 ประเภทกิจการ ว่า ล่าสุดกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้โอนเงินเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนสำเร็จ คิดเป็นมูลค่าเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน 91,739.06 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) จ่ายเงินเยียวยานายจ้าง จำนวน 150,472 แห่ง รวม 6,270.09 ล้านบาท คิดเป็น 83.20% ของผู้ยื่นความประสงค์รับเงินทั้งหมด

2) การจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตน ม. 33 จำนวน 3,444,928 ราย รวม 16,150.56 ล้านบาท คิดเป็น 97.61% ของผู้ยื่นความประสงค์รับเงินทั้งหมด 

3) จ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตน ม. 39 จำนวน 1,342,306 ราย รวม 12,302.12 ล้านบาท คิดเป็น 95.99% ของผู้ยื่นความประสงค์รับเงินทั้งหมด และ 4) จ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตน ม. 40 จำนวน 6,974,857 ราย รวม 57,016.29 ล้านบาท คิดเป็น 95.87% ของผู้ยื่นความประสงค์รับเงินทั้งหมด ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบ มอบหมายให้กระทรวงแรงงานดูแลกลุ่มตกหล่นที่ไม่ได้รับสิทธิให้ครอบคลุมทั่วถึง ซึ่งผู้ประกันตนสามารถยื่นทบทวนสิทธิได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564

“ท่านนายกฯ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบไม่เพียงแต่จากการระบาดของโควิด-19 แต่ยังรวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ด้วย สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือ เร่งฟื้นฟูเยียวยาตามภารกิจของแต่ละหน่วยเต็มที่ เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว” นายธนกรกล่าว

วันที่ 1 ตุลาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันประท้วง โดยมีการทุบรถ และนำนำ้ปลาร้ามาปาใส่รถเจ้าหน้าที่และรถรัฐมนตรี ในระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์นำ้ท่วมที่จังหวัดนนทบุรีเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ก็เพื่อต้องการเข้าไปรับทราบปัญหาด้วยตนเอง จะได้เร่งช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมในขณะนี้ได้ถูกจุดและรวดเร็ว แต่กลับมีการใช้ความรุนแรง ถึงขนาดมีการทุบรถรัฐมนตรีอีกด้วย ซึ่งไม่อยากให้เกิดภาพแบบนี้ในสถานการณ์ขณะนี้ ที่ประเทศกำลังต้องการความร่วมมือร่วมใจกันจากคนไทยทุกคน ขอให้กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังในการปลุกระดมให้ประชาชนออกมาเมื่อวานนี้นั้นทบทวนให้ดีว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นประชาชนได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ เพราะแทนที่จะได้เร่งแก้ไขปัญหาที่ทราบจากปากของผู้เดือดร้อนเอง กลับต้องเสียโอกาสได้เพราะกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน

“ยืนยันว่าการลงพื้นที่ของท่านนายกฯ นั้น เพราะขณะนี้ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์นำ้ท่วม รัฐบาลจึงลงไปช่วยและรับฟังปัญหา เพื่อที่จะได้นำกลับมาแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว และท่านนายกฯ ก็ไม่ได้หนีม็อบอย่างที่บางฝ่ายเข้าใจ แต่เพราะท่านนายกฯ ไม่อยากให้เกิดการกระทบกระทั่ง เนื่องจากเราทุกล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน ทั้งนี้ ความเห็นต่างเกิดขึ้นได้ แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้จะได้รับด้วย” นายธนกรกล่าว