ไทยคว้าโควตาข้าวเกาหลีใต้ได้แค่2.8หมื่นตัน

  • พาณิชย์ยันลดลงน้อยจากครั้งก่อนได้2.9หมื่นตัน
  • ย้ำได้รับจัดสรรตามประวัติส่งออกย้อนหลัง
  • เอกชนชี้เหตุข้าวไทยแพงเกาหลีแทบไม่นำเข้า

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค.63 ความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกำหนดปริมาณโควตารายประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี มีผลบังคับใช้แล้ว ภายหลังรัฐสภาได้เห็นชอบ โดยความตกลงนี้ เป็นการกำหนดโควตาข้าวของเกาหลีใต้ภายใต้องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) รวม 408,700 ตัน ซึ่งนำไปจัดสรรเป็นโควตารายประเทศ และโควตาทั่วไปสำหรับสมาชิกดับบลิวทีโอ โดยโควตารายประเทศ จัดสรรให้ 5 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย 15,595 ตัน, จีน 157,195 ตัน, ไทย 28,494 ตัน, สหรัฐฯ 132,304 ตัน และเวียดนาม 55,112 ตัน ภาษี 5% ส่วนโควตาทั่วไป 20,000 ตัน  

“โควตาของไทยครั้งนี้ได้ 28,494 ตัน ลดลงเล็กน้อย โดยโควตาที่ไทยได้รับจัดสรร มาจากสถิติส่งออกย้อนหลัง ซึ่งที่ผ่านมา เกาหลีใต้นำเข้าข้าวไทยน้อยลง เพราะราคาแพงกว่าคู่แข่ง แม้ได้รับโควตาลดลง แต่ดีกว่าไม่ได้เลย หากในอนาคตความตกลงนี้หมดอายุ และเกาหลีใต้จะต่ออายุใหม่ กรมจะพยายามเจรจาเพื่อให้ได้โควตาเพิ่มขึ้น”

ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การที่ไทยได้โควตาลดลง ไม่ถือว่าผิดปกติ เพราะแต่ละปี เกาหลีใต้นำเข้าข้าวไทยน้อย อย่างปี 62 นำเข้ากว่า 10,000 ตัน จากโควตา 29,963 ตัน เพราะราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง อีกทั้งเกาหลีใต้บริโภคข้าวเมล็ดสั้น แต่ไทยมีข้าวเมล็ดยาว จึงนำเข้าจากเวียดนาม สหรัฐฯ และจีน แม้ที่ผ่านมา ผู้ส่งออกไทยร่วมประมูลขายให้เกาหลี แต่ราคาเราเสียเปรียบ อย่างข้าวขาว ตันละ 420 เหรียญสหรัฐฯ แต่เวียดนาม 360 เหรียญฯ ถ้าราคาข้าวไทยแข่งขันได้ ก็อาจนำเข้าจากไทยมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความตกลงนี้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.63 แต่เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.62 กระทรวงพาณิชย์ เพิ่งเสนอให้รัฐสภาพิจารณา หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบวันที่ 11 ธ.ค.62 ทำให้พรรคฝ่ายค้านตั้งประเด็นถาม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ถึงความเร่งรีบที่นำเสนอให้สภาเห็นชอบ โดยไม่ให้เวลาพิจารณา อีกทั้งโควตาของไทยได้น้อยกว่าครั้งก่อน แต่คู่แข่งอื่นกลับได้เพิ่มขึ้น โดยเวียดนาม ได้ถึง 55,112 ตัน จากเดิม 45,400 ตัน, สหรัฐฯ 132,304 ตัน จากเดิม 100,901 ตัน แต่ไทย 28,494 ตัน จาก 29,963 ตัน