เอ็ม-150 ยกระดับกลยุทธ์สร้างลอยัลตี้โปรแกรม ซิวรางวัล “แบรนด์ออฟเดอะเยียร์” ในเวทีโลก 3 ปีซ้อน

  • อ็ม-150 เครื่องดื่มให้พลังงานของไทย ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ยอดนิยมที่ผู้บริโภคชื่นชอบ
  • คว้ารางวัล “แบรนด์ออฟเดอะเยียร์” ในเวทีระดับโลกเป็นปีที่สามติดต่อกัน
  • ชูความสำเร็จการทำกิจกรรมการตลาดผสมผสานระหว่างไอดอล กีฬา และโปรโมชั่นในแพลตฟอร์มรูปแบบใหม่
  • ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เอ็ม-150 กระชายดำผสมน้ำผึ้ง ตอบโจทย์ให้พลังงานและบำรุงสุขภาพ มุ่งสร้างลอยัลตี้ในระยะยาว

นางสาวสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ Chief Marketing Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2562 นับเป็นปีแห่งความสำเร็จของเอ็ม-150 โดยล่าสุดเอ็ม-150 ได้รับรางวัล “เวิลด์ แบรนด์ดิ้ง อวอร์ด 2019” ประเภท “แบรนด์ออฟเดอะเยียร์” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเป็นแบรนด์เดียวในหมวดเครื่องดื่มให้พลังงานจากประเทศไทยที่ได้รับรางวัล ซึ่งมีพิธีมอบรางวัล ณ พระราชวังเค็นซิงตัน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้ โอสถสภาขอขอบคุณผู้บริโภคชาวไทยและทั่วโลกที่ให้ความชื่นชอบและเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์เอ็ม-150 อย่างต่อเนื่อง และจะมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจให้แก่ผู้บริโภคอย่างไม่หยุดยั้งต่อไป

“ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้เอ็ม-150 ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ประกอบด้วยการดำเนินกลยุทธ์การตลาดแบบผสมผสานระหว่างไอดอล กีฬา และโปรโมชั่นที่โดนใจบนแพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค นอกจากนี้ ปีนี้นับเป็นปีแรกในรอบหลายปีที่ เอ็ม-150 ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เอ็ม-150 กระชายดำผสมน้ำผึ้ง “ฟิตเกินวัย ใจเกินร้อย” ที่มีส่วนผสมกระชายดำและน้ำผึ้งให้ความฟิตกับผู้บริโภค โดยมีตูน บอดี้สแลม ที่นำเสนอถึงความฟิตเกินวัยได้ดีที่สุดเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค” นางสาวสุทิพากล่าว

เอ็ม-150 ได้ดำเนินกลยุทธ์ไอดอลมาร์เก็ตติ้ง ผ่านพรีเซ็นเตอร์หลักที่เป็นตัวแทนในการสื่อสาร “เอ็ม-150 พลังฮึดสู้เพื่อคนไทย” ที่ไม่มีใครที่เหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว นั่นคือ ตูน บอดี้สแลม ศิลปินร็อกชั้นนำของไทยและฮีโร่ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศขวัญใจอันดับหนึ่งของคนไทย ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการไล่ล่าตามความฝัน ความตั้งใจของตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ และ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรชั่น นักชกชาวไทยสู้ชีวิต อดีตแชมป์โลก 2 สมัยที่จะไปชิงแชมป์โลก WBC สมัยที่ 3 ไฟต์บังคับที่สหรัฐอเมริกาในปี 2563 ซึ่งเป็นศึกดวลกำปั้นนัดยิ่งใหญ่แห่งปีที่แฟนมวยทั่วโลกรอคอย ศรีสะเกษจึงนับเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดที่จะส่งต่อพลังฮึดสู้ถึงคนไทยทุกคน ที่ถึงแม้จะเจออุปสรรคก็ไม่เคยหยุดยั้งหรือหวั่นเกรง

พร้อมกันนี้ เอ็ม-150 ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ทั้งกีฬาฟุตบอลและมวยซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทยทั่วประเทศ โดยเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันฟุตบอลเอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ หรือไทยลีก 2 และทีมชาติฟุตบอลไทย ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะเข้ารอบต่อไปของการคัดเลือกในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย เช่นเดียวกับการสนับสนุนกีฬามวยในเวทีต่างๆ รวมถึงค่ายมวยอย่างนครหลวงโปรโมชั่นที่มีนักมวยชั้นนำแนวหน้าของไทยและระดับโลกที่มีกำหนดจะส่งนักชกขึ้นชิงแชมป์โลกในเร็วๆ นี้ ทั้งศรีสะเกษ และนวพล นครหลวงโปรโมชั่น ซึ่งสร้างกระแสร้อนแรงให้กับวงการกีฬาฟุตบอลและมวยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกลยุทธ์โปรโมชั่น เอ็ม-150 ดำเนินการผ่าน “แต้มเอ็ม” แพลตฟอร์มดิจิทัลรูปแบบใหม่ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและสนับสนุนให้แบรนด์มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและผูกพันกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยเป็นแคมเปญลอยัลตี้โปรแกรมผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ ที่เหนือกว่าและลดความยุ่งยากของการทำโปรโมชั่นแบบเดิม ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนในการสะสมแต้มเอ็มจากรหัสใต้ฝาเพื่อแลกของรางวัลพิเศษและลุ้นรับรางวัลสุดพรีเมียมมากมายตลอดทั้งปี เพียงแค่แอดไลน์ Official account “แต้มเอ็ม” สมัครสมาชิกเพื่อสะสมแต้มจากใต้ฝา เท่านี้ก็จะได้แต้มไปใช้ลุ้นหรือแลกของรางวัลสุดพิเศษ รวมถึงไฮไลต์สำคัญส่งท้ายปี มหกรรมแจกทองระดับแชมป์ ทั้งนวมทองคำ เข็มขัดแชมป์ทองคำ ลูกฟุตบอลทองคำ มอเตอร์ไซค์สีทอง รถกระบะสีทอง ถ้วยแชมเปี้ยนทองคำ ทั้งหมดกว่าพันรางวัล ซึ่งจะประกาศผลรางวัลสุดท้ายในวันที่ 27 ธันวาคมนี้

“เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เราต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้สมาร์ทโฟนและเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา แคมเปญแต้มเอ็มเป็นการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสม เข้าถึงและสร้างความสะดวกแก่ผู้บริโภคมากขึ้น และที่สำคัญคือ สร้างลอยัลตี้ระหว่างแบรนด์เอ็ม-150 กับผู้บริโภค ช่วยให้เราสามารถบริหาร Asset ต่างๆ ที่เรามีให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมใช้ประโยชน์จาก Asset และกิจกรรมต่างๆ ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของไอดอลหรือสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งได้สูงสุด เป็นการเชื่อมโยง Asset ต่างๆ เข้าด้วยกัน อีกทั้งยังทำให้เรามีข้อมูล (Data) ที่ทำให้เราเรียนรู้และเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยให้เราเสนอแคมเปญที่ตรงใจผู้บริโภค พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณค่าสูงขึ้น และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพันและมีส่วนร่วมกับ
แบรนด์อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เกิดเป็นลอยัลตี้ในระยะยาว” นางสาวสุทิพากล่าวทิ้งท้าย