เหตุใด ธปท.จึงเบาปัญญา

เป็นคำถามที่ถามตนเองอยู่ตลอดมา ตั้งแต่เริ่มทำงานทางด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เหตุใดธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ขัดขวางนโยบายที่ควรจะเป็นตั้งแต่ปี 2520 เสมอมา 

วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ก่อปัญหาทั้งสิ้น เช่น การไม่ยอมลดค่าเงินบาท สมัยรัฐมนตรีคลัง สมหมาย ฮุนตระกูล จนต้องปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกหนังสือมาเขียนเล่าความเท็จ อีกคนหนึ่งอยู่ได้ในระยะสั้นๆ และที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ สมัยนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รัฐมน ตรีคลัง และผู้ว่าการ ธปท. แทนที่จะลดค่าเงินบาท และเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น 

กลับเอาเงินทุนสำรองที่กู้มาจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่มีจำนวนอันน้อยนิดเอาไปต่อสู้กับบรรดา กองทุน “ตรึงมูลค่า” หรือ hedge fund ที่เกิดในอเมริกาแต่จ้องหากำไรจากประเทศที่เปิดเสรีทางการเงิน ประเทศที่ยังไม่เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบ “คงที่” ผูกมัดกับค่าเงินดอลลาร์ หรือกับ “ตะกร้าเงิน” basket of curren cies ซึ่งเงินดอลลาร์สหรัฐมีสัดส่วนมากที่สุดในตะกร้าเงิน

ระบุ ค่าเงินบาทเขย่งไม่สอดคล้องความจริง
ความอิสระของแบงก์ชาติก่อปัญหาเศรษฐกิจ
เมื่อค่าเงินบาทเขย่ง ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ประเทศไทยขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8 ของรายได้ประชาชาติและติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี เพราะเงินออมมีน้อยกว่าเงินลงทุนเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ เป็นไปตามตำราเศรษฐศาสตร์ที่สอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยทุกแห่งในประเทศไทย แต่ผู้บริหารนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่ตระหนัก

เหตุใดผู้ว่าการ และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เป็นเสียงข้างมากในคณะกรรมการนโย บายการเงิน จึงได้มองไม่เห็นปัญหา ไม่ใช้เครื่องมือทางการเงินที่ตนมีอยู่ให้เพียงพอ และทันกาลในการแก้ไขปัญหา  ที่เป็นอยู่  ยิ่งเมื่อมีการแก้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระ หลุดโลกไปอย่างสมบูรณ์ ไม่มีการถ่วงอำนาจ ก็ยิ่งมีความเป็นอิสระในการสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของชาติ

แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของผู้บริหาร ธปท.ตั้งแต่ยุคสมัย พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา สื่อมวลชนกระแสหลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เขียนข่าวเศรษฐกิจซึ่งไม่มีความรู้ความเข้าใจและสำคัญที่สุดคือความจำเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ  เคยจัดอบรมและบรรยายให้ฟังก็ไม่ได้ผล เมื่อมีคนแอบเอาข้อมูลทางการเงินและนโยบายการเงินออกมาให้กับนักข่าว ผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพดังกล่าวก็กลายเป็นที่นิยมชมชอบของสื่อมวลชน  แม้ว่าจะย้ายไปอยู่ตลาดทุนก็ยังได้รับความนิยมชมชอบ ไม่เคยมีใครทราบว่าข่าวรั่วไหลได้อย่างไร จนมีการสืบพบความจริงในทางลับว่าผู้บริหารระดับสูงของ ธปท. เป็นผู้ลอบให้ข้อมูลที่ยังเป็นความลับ แต่เป็นหลักฐานที่นำไปอ้างกับศาลไม่ได้ เพราะเป็นวัตถุพยานที่ไม่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย

ล้วงลึกถึงรากเหง้าของเจ้าหน้าที่ระดับสูง
หัวกะทิที่ถูกครอบงำโดยสังคมแบงก์ชาติ
ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีมานี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทยล้วนแต่ไต่เต้ามาจากการเป็นนักเรียนทุนของธนาคาร ผ่านการสอบแข่งขันอย่างเข้มข้น เป็นหัวกะทิของประเทศ ส่วนใหญ่สอบเข้าคณะวิทยา ศาสตร์การแพทย์ได้ แล้วย้อนกลับมาสอบรับทุนธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีพันธะว่าเมื่อกลับมาแล้วต้องมาทำ งานกับธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่รับทุนไปเรียน

มหาวิทยาลัยที่นักเรียนทุนเหล่า นี้ไปเรียนปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ก็ดี ทางบริหารธุรกิจก็ดี ทางบัญชีก็ดี ทางกฎหมายก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นมหา วิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา อังกฤษ หรือยุโรปตะวันตก เป็นมหาวิทยาลัยที่คนไทยใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนทั้งนั้น ไม่มีใครสงสัยในความเรียนเก่ง มีมันสมองเป็นเลิศเป็นหัวกะทิของประเทศ cream of the crop

แต่เมื่อเรียนหนังสือกลับมาทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กลับเป็นคนเบาปัญญา ปาฐกถาเรื่องเศรษฐ ศาสตร์สำหรับประเทศไทยผิดๆ ถูกๆ เหมือนไม่เคยอ่านตำราเศรษฐศาสตร์มหภาคสำหรับประเทศเล็ก และเปิดอย่างประเทศไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการพลังงานที่เรียนเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องเสียเงินหลวงข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนเมืองนอกเมืองนาที่ไหนมา แต่พูดจาภาษาเศรษฐศาสตร์ได้ดีกว่ามาก

เปิดเผยเรื่องราวของการสู้ค่าเงินในอดีต
ความเบาปัญญาของเจ้าหน้าที่ระดับสูง
เท่าที่ลองติดตามดูจะเห็นว่า ทำไมนโยบายการเงินที่ออกจากกรรมการนโยบายการเงิน จึงไม่แตกต่างจากนโยบายการเงินที่ออกจากคนคนเดียว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะโครงสร้างของกรรมการนโยบายการเงิน 7 คน ผู้ว่าการเป็นประธาน 1 คน 3 คนมาจากรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ และอีก 3 คนมาจากกระทรวงพาณิชย์คนหนึ่ง สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคนหนึ่ง และกรรมการอิสระคนหนึ่งที่รัฐมนตรีคลังเสนอขึ้นไป

กรรมการที่มาจาก ธปท.ก็เป็นเสียงข้างมากอยู่แล้ว และมีเจ้าหน้าที่ ธปท.ที่เคยทำความเสียหายให้กับประเทศชาติ โดยการเอาทุนสำรองทั้งหมดไปสู้กับ จอร์จ โซรอส ผู้นำกองทุนตรึงมูลค่า จนประเทศชาติล้มละลาย ต้องเข้าโครงการกองทุนระหว่างประเทศมาแล้ว

อดีต ผบ.ทบ.ไทยไปขอความช่วยเหลือจากจีนเป็นการส่วนตัว จีนยินดีให้กู้ยืมโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างไอเอ็มเอฟ เพียงขอดูบัญชีทุนสำรองว่ามีเหลืออยู่เท่าใด ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยสมัยนั้นไม่ให้ดู อ้างว่าเป็นความลับ แม้ผู้จะให้กู้ขอดูก็ไม่ได้ ให้ดูได้แต่เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟเท่านั้น เป็นความเบาปัญญาของธนาคารแห่งประ เทศไทยอีกเรื่องหนึ่ง แต่สื่อมวลชนก็ยังคงชื่นชอบธนาคารแห่งประเทศไทยจนเหลิงอยู่นั่นเอง คอยจ้องจับผิดว่าธนา คารแห่งประเทศไทยจะถูกแทรกแซงโดยฝ่ายการเมืองบ้าง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบ้าง ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่ว่าจะมาจากการแต่งตั้งจากข้าราชการ หรือนักการเมือง ไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครแทรกแซงนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย

กระทรวงการคลังต้องคุมแบงก์ชาติได้
ไม่ใช่อิสระแล้วทำให้ประเทศล้มละลาย
มีอยู่ครั้งเดียวที่จำเป็นต้องแทรกแซงเมื่อปี 2527 ที่ค่าเงินบาทแข็งจนประเทศส่งออกไม่ได้ น้ำมันถูกเกินไป ราคาข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย และน้ำตาล น้ำมันปาล์ม ราคาตกหมด เหมือนๆกับปัจจุบัน พูดอย่างไรผู้ว่า การก็ไม่ยอม รัฐมนตรีคลังจึงมีความจำเป็นต้องปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากตำแหน่ง แล้วตั้งคุณกำจร สถิรกุล ไปเป็นผู้ว่าการแทน จึงสามารถลดค่าเงินบาท และเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนได้ ถ้าปล่อยให้ผู้ว่าการทำเองก็คงไม่ทำ และปล่อยให้ประเทศล้มละลายไปแล้ว เพราะความเบาปัญญาและห่วงเก้าอี้ของตนเอง ทุกวันนี้ยังเห็นเดินลอยหน้าอยู่ที่สโมสรโปโล

ทุกคนไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนที่ชื่นชอบระบอบเผด็จการทหารที่ตรวจสอบไม่ได้ ที่สืบทอดอำนาจตนเองได้เพราะมีวุฒิสภาฝักถั่วที่ตนเองตั้งเป็นตัวช่วย หรือเกลียดเผด็จการรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งที่ตรวจสอบได้ ที่มีวาระแน่นอน และประชาชนเปลี่ยนรัฐบาลได้ หรือจะเป็นข้าราชการทหารที่เป็นรั้วของชาติเหมือนๆ ข้าราชการประจำฝ่ายพลเรือนที่ไม่มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน หรือประชาชนเดินดินกินข้าวแกงข้างทาง หรือนักวิชาการหัวใส
ต่างก็ตระหนักดีว่านอกจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่เป็นตัวถ่วงความสามารถในการแข่งขันเพื่อการส่งออกของประเทศมาโดยตลอด ยังมีรัฐบาลเผด็จการทหารที่ไม่เป็นที่ยอมรับในประชาคมโลกที่ทำมาค้าขายและลงทุนไขว้กันไปมา ก็ยิ่งเป็นตัวถ่วงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความเจริญของประเทศชาติ

ชี้แนะแก้ไขพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย
สร้างการถ่วงดุลระหว่างคลัง กับ แบงก์ชาติ
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลังออกมาสารภาพว่าไม่รู้จะทำอย่างไรกับธนาคารแห่งประ เทศไทยที่ดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาด สร้างความเสียหายย่อยยับให้กับประเทศเป็นระยะๆเสมอมา อำนาจก็อยู่ในมือ ก็ควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย สร้าง“การถ่วงดุล” check and balance ระหว่าง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสีย

ไม่ปล่อยให้คนคนเดียวในกรรมการนโยบายการเงินใช้เหตุผลที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ผิด ครอบงำกรรมการคนอื่นๆ ที่ไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มหภาคและเศรษฐศาสตร์การเงิน ภาคเอกชน เช่น เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยก็ดี ประธานสภาหอการค้าก็ดี ประธานสภาอุตสาหกรรมก็ดี ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะออกมาช่วยรัฐบาลใน การคัด ค้านธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะห่วงกิจการการค้าของตัวเองแทนที่จะห่วงประเทศชาติเป็นส่วนรวม

การไม่กล้าใช้ “อัตราแปลกเปลี่ยน” เป็นเป้าหมายหลักของนโยบายการเงิน เมื่อคราวที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นผู้ว่าการ ธปท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยสูงกว่าอัตราดอก เบี้ยของโลก ขณะเดียวกันไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่โดยตรึงค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์ เป็นเหตุให้เงินไหลเข้ามากินกำไรส่วนต่าง โดยการโยกอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจในการทำนโยบายการเงิน สังเกตได้จากการให้เหตุผลข้างๆ คูๆ จนเสีย “ค่าโง่” ให้กับกลุ่มกองทุนตรึงมูลค่าไปเปล่าๆ ทั้งๆ ที่เงินดอลลาร์เหล่านั้นมาจากการส่งออก เป็นเงินที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยาก

ชี้คนแบงก์ชาติข้างในกลวง-ไม่มีความสามารถ
“เงินบาท”ต้องอยู่ที่ 33 – 35 บาท/ดอลล่าร์สรอ.
เคยคุยกันกับนักเศรษฐศาสตร์หลายสถาบันว่า เหตุใดผู้ใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศไทยพูดจาเอาความดีใส่ตัว และโยนความรับผิดชอบให้รัฐมนตรีคลัง ขณะเดียวกันก็อาศัยกินบุญเก่าของ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ แต่ข้างในกลวง ไม่มีความรู้ความสามารถเอาเสียเลย ไม่เหมือนนักวิชาการจีนที่เซียงไฮ้ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนฟัง ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟเหมือนกับธนาคารกลางของไทย

สรุปออกมาได้ 2-3 ประเด็นคือ เป็นปมด้อยที่เคยทำผิดพลาดมาแล้ว โดยการเอาทุนสำรองทั้งหมดไปสู้กับกองทุนตรึงมูลค่า การไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากจีน แต่ยอมเข้าโครงการมหาโหดของไอเอ็มเอฟ จึงปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของความสามารถในการแข่งขันของประเทศเสียไป การอ้างว่ากลัวอเมริกา และไอเอ็มเอฟเล่นงานถ้าปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำ 

ค่าเงินควรอ่อนกว่านี้ อยู่ที่ 33-35 บาทต่อดอลลาร์ เพราะเงินเฟ้อก็ไม่มี การส่งออกก็จะขยายตัว 8-10 เปอร์ เซ็นต์ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจก็จะได้ประมาณ 6 -7 เปอร์เซ็นต์ ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลประ มาณ 5 – 6 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ เงินเฟ้อไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่ประเทศไทยจะพ้น “กับดัก” ประเทศรายได้ปานกลาง กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วตามมาเลเซียภายในปีนี้ 2020 ตามที่คาดการณ์ไว้ก็ได้ แต่นี้ก็สายไปเสียแล้ว

เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยแห่งเดียวที่เป็นตัวถ่วง