“เศรษฐา” ชี้เหลื่อมล้ำฝังราก ชี้รัฐใช้อำนาจไม่ถูกทาง แนะประชาชนเทคะแนนเลือกพรรคที่ชอบให้ชนะขาด

  • ลั่นผลงานที่ผ่านมาของนายกฯ นับว่า “สอบตก” ในทุกแง่
  • แนะทางออกใช้ภาษีความมั่งคั่งลดช่องว่างเหลื่อมล้ำ เร่งแก้ปัญหาปากท้อง
  • ย้ำถึงเวลาแล้ว ที่ไทยต้องลงมือทำสิ่งที่ถูกต้องแม้อาจจะไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม
  • เผยคนรุ่นใหม่ยุคนี้ไม่กล้ามีลูก เหตุกังวลปัญหาต่างๆ ที่จะตามมากมาย
  • ชี้สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ไทยสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลในอนาคต

วันที่ 19 ต.ค.65 ไทยรัฐกรุ๊ป จัดเสวนา “THAIRATH FORUM 2022” ภายใต้หัวข้อ “ตื่น ฟื้น ฝัน : สังคมต้องตื่นเศรษฐกิจต้องฟื้น การเมืองในฝัน” โดยรวบรวมวิทยากรระดับแนวหน้าที่มีบทบาทกับประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม และการเมือง มาร่วมให้ความเห็นต่อทางออกของประเทศไทย

เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง คือ 3 ปัญหาที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ขาด และกัดกินวิถีชีวิตคนไทยมายาวนาน ซ้ำร้ายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นหลังเราโดนกระหน่ำด้วยโรคร้าย ภัยธรรมชาติ และคลื่นใต้น้ำอีกหลายประการ จนหลายฝ่ายยอมรับว่า ความหวังในการพลิกฟื้นวิกฤตต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน 

ในงานเสวนา “THAIRATH FORUM 2022 “ตื่น ฟื้น ฝัน”  “เศรษฐา ทวีสิน” ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ตัวแทนภาคประชาชน ได้ระบุความเห็นน่าสนใจไว้หลายประเด็น โดยเฉพาะ แนวทางจัดการความเหลื่อมล้ำที่ฝังราก และภาพของเมืองไทยในอนาคตซึ่งหวังจะได้เห็นบ้านเมืองที่สร้างความหวังให้คนรุ่นใหม่ รวมไปถึงรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่แท้จริง

วิกฤตเหลื่อมล้ำ รัฐใช้อำนาจไม่ถูกทาง เสียโอกาสเติบโต

ชื่อของ เศรษฐา ทวีสิน นับว่าร้อนแรงไม่น้อยในเวทีการเมืองหลังเจ้าตัวเคลื่อนไหวในเชิงวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลบ่อยครั้ง และยังถูกยกให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในโควตาของพรรคเพื่อไทย โดยหนึ่งในแง่มุมที่เศรษฐานำเสนอเป็นประจำ คือเรื่องความเหลื่อมล้ำที่นับวันยิ่งถ่างออก ส่งผลโดยตรงต่อปากท้องประชาชน และต้นตอของสิ่งนี้ก็เกิดจากการบริหารงานของรัฐบาล โดยเจ้าตัวระบุในงานเสวนา Thairath Forum 2022 ว่าผลงานที่ผ่านมาของนายกฯ นับว่า “สอบตก” ในทุกแง่

หัวเรือใหญ่อสังหาฯ ยังกล่าวเสริมอีกว่า แม้การเข้ามาของรัฐบาลนี้จะประสบผลสำเร็จในเรื่องการสร้างความมั่นคงลดการเมืองบนท้องถนน แต่ในทางตรงข้ามเรื่องการกินดีมีสุขของประชาชนกลับประสบปัญหาอย่างหนัก หลังจากไทยเจอวิกฤตโควิด-19 ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าช่องว่างความเหลื่อมล้ำของไทยสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นโอกาสการเข้าถึงสาธารณสุขที่มีคุณภาพตามสิทธิขั้นพื้นฐาน หรือเรื่องของการศึกษาที่คนส่วนใหญ่อาจมีโทรศัพท์มือถือไว้เรียนออนไลน์  แต่ยังมีประชาชนอีกนับสิบล้านที่ไม่มี จนมีความเสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษา 

เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาจากโครงสร้างพื้นฐาน และแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีอำนาจเต็มมือ แต่ก็ไม่ได้นำไปใช้อย่างถูกวิธีจนเสียโอกาสทั้งในการแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำ โครงสร้างพื้นฐาน และโอกาสในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่านี้

“ผมเชื่อว่าตอนท่านเข้ามาท่านมีจิตใจดี แต่เมื่อเข้ามาถึงแล้วเนี่ยปัญหาทั้งหมดมันใหญ่เกินไป หลายๆ อย่าง เช่นเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าหากเรามีผู้นำประเทศที่เป็นหัวหอกทะลวงให้ ผมเชื่อว่าการค้าขายการนำธุรกิจเข้ามาในไทยจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ ผมคิดว่ายังทำได้อีกเยอะมาก ในฐานะที่เรามีผู้นำอำนาจเต็มมือ เช่น ม.44 ถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็น่าจะทำให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานได้ดีกว่านี้ สรุปผมมองว่าเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องปากท้อง ถือว่าสอบตกเลยครับ” 

แนะใช้ภาษีความมั่งคั่งลดช่องว่าง เร่งแก้ปัญหาปากท้อง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ในหัวข้อเป้าหมายที่อยากเห็นประเทศไทยไปถึงใน 5 ปีข้างหน้า เศรษฐา ทวีสิน กล่าวว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราต้องโฟกัสปัจจุบันไปควบคู่ โดยการยอมรับความจริงก่อนว่า ปัจจุบันปัญหาปากท้องคือสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งแก้โดยด่วน ไม่ว่าจะค่าครองชีพ ค่าเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก เรื่อยๆ ไปถึงเรื่องการปรับเพิ่มดอกเบี้ย 

โดยยกตัวอย่างผลประกอบการของโรงกลั่นไทยที่มีผลกำไรมหาศาลในช่วงเวลาที่ประชาชนกลุ่มเปราะบางกำลังเผชิญวิกฤต ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนความเหลื่อมล้ำที่ไร้การเหลียวแล สังเกตได้จากกลุ่มคนที่รวยก็ยิ่งรวยมากขึ้น คนที่ไม่มีก็ยิ่งไม่มีมากขึ้น และผู้คนที่ประสบปัญหาเหล่านี้ก็เยอะเกินกว่าที่สังคมจะอยู่ได้อย่างปกติสุข

เศรษฐา ทวีสิน ระบุว่าในตอนนี้ประเทศไทยถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ “สิ่งที่ถูกต้องแม้อาจจะไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม” และได้เล่าเสริมว่าหากตนได้เป็นรัฐบาล หนึ่งในแนวทางที่คิดว่าจะลงมือทำคือการใช้เครื่องมือทางการคลังอย่างระบบภาษีมาช่วยลดความเหลื่อมล้ำ อาทิ ในเรื่องของภาษีความมั่งคั่ง ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน หรือภาษีหุ้น ซึ่งในปัจจุบันอัตราการเก็บยังเป็นไปอย่างไม่สมเหตุสมผล และไม่มีนัยยะสำคัญที่แท้จริง เป็นเพียงการเก็บเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ซึ่งหากนโยบายภาษีดังกล่าวเกิดขึ้นจริง รัฐจะมีรายได้จำนวนมากเข้ามาช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องการศึกษา สาธารณสุข รวมไปถึงเรื่องของราคาน้ำมัน 

แน่นอนว่าแนวคิดเช่นนี้ย่อมจะมีกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์ไม่ถูกใจ แต่ เศรษฐา ทวีสิน ก็ย้ำชัดว่ามันอาจถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลงมือทำไปด้วยกัน เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ

ฝันสร้างความหวังให้คนรุ่นใหม่ และอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่แท้จริง

ในบทสรุป เศรษฐา ทวีสิน ได้กล่าวในมุมของการเป็นตัวแทนประชาชน และตัวแทนภาคธุรกิจที่อยู่ในวงการมากว่า30 ปี ว่าตนมีฝันหลายเรื่องมาก แต่เรื่องที่มองว่าต้องรีบติดจรวดเพื่อให้ประเทศพลิกฟื้นโดยด่วนมีอยู่ 2 เรื่องด้วยกันประการแรก คือการฝันเห็นรัฐบาลใหม่ที่สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองได้อย่างแท้จริง ซึ่งการเข้ามาของรัฐบาลใหม่นี้ไม่ว่าจะในอีกกี่เดือนข้างหน้าก็ตามจะเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทย โดยกล่าวว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปนั้นถ้าคุณชอบคนที่ทำงานอยู่ปัจจุบันก็เลือกเขา ถ้าเกิดไม่ชอบก็เลือกพรรคหรือบุคคลที่เสนอนโยบายที่โดนใจแล้วเลือกให้ขาด เขาจะได้เข้ามาบริหารราชการอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาไม่มีข้ออ้าง และผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่แท้จริงให้เกิดขึ้น

ส่วนฝันประการที่ 2 ของ เศรษฐา ทวีสิน เป็นเรื่องในระยะยาว ซึ่งเจ้าตัวกล่าวว่ายังไม่ค่อยเห็นใครพูดถึงเท่าใดนัก นั่นคือเรื่องการให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน ดังที่เห็นกันว่าปัจจุบันอัตราการเกิดของไทยมีแนวโน้มลดลงมากบุคลากรที่มีคุณภาพก็มองหาช่องทางออกไปเติบโตนอกประเทศ เหล่านี้สะท้อนถึงการไร้ความหวังและแรงบันดาลใจต่อไทย จนทำให้ประชากรที่มีศักยภาพไม่เชื่อมั่น หวังไปโตในที่ๆ ดีกว่า รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ยังไม่กล้าที่จะมีลูกเพราะกังวลปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย โดยสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ไทยสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลในอนาคต

“เราในฐานะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองน่าจะต้องให้ความสนใจมากกว่าการที่จะไปบอกว่าเค้าชังชาติ หรือว่าถ้าไม่พอใจก็ออกไป ไปผลักไสไล่ส่งเขา อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่อยากจะฝากพรรคการเมือง หรือว่าคนที่จะเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการประเทศ เราต้องมานั่งคิดตรงนี้ว่ามีเด็กและเยาวชนที่เราอยากสร้างความหวังและแรงบันดาลใจให้เค้าอยากอยู่ในประเทศ ให้เค้าเจริญเติบไปเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศต่อไป”

ทั้งนี้ มุมมองจาก เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะซีอีโอจากฝั่งเอกชนและประชาชน ยังคงชัดเจนตรงจุดเช่นเดียวกับทัศนะที่เจ้าตัวสื่อสารผ่านสื่อโซเชียลมีเดียเสมอมา เหตุนี้จึงเป็นเรื่องน่าจับตาไม่น้อยว่าหากถึงวันที่ เศรษฐา ทวีสิน ก้าวสู่บทบาทใหม่บนเส้นทางการเมือง จะสามารถนำประสบการณ์ที่เคยนำองค์กรฝ่าวิกฤต มาพลิกฟื้นประเทศไทยได้มากน้อยเพียงใด