“เศรษฐา”เตรียมดิสรัปพรรค รีแบรนด์ “เพื่อไทย”ใหม่

  • “อุ๊งอิ๊ง” ยอมรับว่าแพ้ แต่ไม่ใช่การล่มสลาย
  • “เพื่อไทย” จี้ส.ส.ใช้โซเชียลมีเดียสู้สมรภูมิเลือกตั้งครั้งต่อไป

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวในงานแถลงข่าว การสัมมนาผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ประสานกำลังใจ เดินหน้าต่อไปเพื่อประชาชนว่า ได้เชิญสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อมาพบปะพูดคุย ให้กำลังใจและขอบคุณ ในการทำหน้าที่ได้อย่างดียิ่งแม้จะได้อันดับสอง และการแจ้งถึงทิศทางและการทำงานของพรรค ได้ชี้แจงให้ทราบถึงทิศทางที่จะก้าวต่อไปและเรื่องที่พรรคกำลังดำเนินการอยู่ งานในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล งานในพื้นที่ และงานในสภา

นอกจากนี้ได้เสนอต่อที่ประชุมเรื่องการประเมินผลการเลือกตั้ง ได้ตั้งกรรมการขึ้นมา 1 ชุดเพื่อดำเนินการมีนายนพดล ปัทมะ เป็นหัวหน้าทีม ส่วนผู้สมัครได้มอบภารกิจในแต่ละเขตให้ประเมินตนเอง ว่ามีจุดอ่อน จุดแข็ง วิกฤติ และโอกาสเป็นอย่างไร ความคิดเห็นของประชาชนเป็นอย่างไร จะไม่ชี้หน้าด่ากัน จะยอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด มาปรับ จัดทำเพื่อก้าวเดินต่อไป หวังให้เป็นพรรคการเมืองที่อยู่คู่ประชาชน

“คุณเศรษฐา(ทวีสิน) และคุณแพทองธาร (ชินวัตร) แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ทั้งสองท่านยอมรับว่าแพ้การเลือกตั้ง แต่จะก้าวอย่างไร เพื่อไปต่อให้ได้ การแพ้ไม่ใช่การล่มสลาย แต่จะต้องทำหน้าที่ให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยคุณเศรษฐาจะดิสรัปพรรค เปลี่ยนแปลงปรับรูปแบบ โครงสร้าง สัญลักษณ์ รีแบรนด์ รีสตรัคเจอร์  มีคณะทำงานพูดคุยกันจะมีแนวทางอย่างไร”นพ.ชลน่านกล่าว

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า บรรยากาศของการสัมมนาเป็นไปด้วยความอบอุ่น เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันในการต่อสู้  ไม่มีการตำหนิใคร ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยได้ให้นโยบายผู้สมัครทั้งที่ได้รับการเลือกตั้ง และไม่ได้รับการเลือกตั้ง เรื่องแรก กรณีที่ยังไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง มีการร้องเรียนเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง ฝ่ายกฎหมายได้อำนวยความสะดวกให้ทุกคนในการชี้แจงข้อเท็จจริง และเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้สมัครทุกคน 400 เขต ต้องยื่นบัญชีค่าใช้จ่าย ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้กำหนดวงเงินเอาไว้และให้แจ้งภายใน 90 วัน เมื่อมีการรับรองผลการเลือกตั้ง ให้ผู้ได้รับการเลือกตั้งเตรียมยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับป.ป.ช.

“การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องยอมรับว่ากระแสโซเชียลมีเดียมีผลอย่างยิ่ง ในระดับที่มีนัยยะส่งผลต่อการเลือกตั้ง ขณะนี้มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยจำนวน 55 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นติ๊กต่อก 30 ล้านคน ยูทูป 38 ล้านคน ไลน์น่าจะแตะไปถึง 50 ล้านคนแล้ว สิ่งเหล่านี้ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง พรรคได้ให้ความสำคัญและตั้งเป็นข้อสังเกตว่า โซเชียลมีเดีย มีความสำคัญ และในอนาคตเทคโนโลยีเอไอ ไอโอ มีความสำคัญ เป็นเรื่องที่พรรคได้บอกผู้สมัครให้ความสำคัญ สมรภูมิการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นอีก 4 ปี หรือนาทีใดก็ตาม เรื่องโซเชียลมีเดียยังเป็นสมรภูมิการต่อสู้ที่รุนแรงมากขึ้น ผมเชื่อว่าทุกพรรคการเมืองได้พัฒนาระบบโซเชียลมีเดียของตนเอง ในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้งครั้งนี้คงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปมาก” นายประสริฐกล่าว