เศรษฐกิจจีน เร่ิมฟื้นด้วยตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค.ที่พุ่งขึ้น 11.6%

  • ส่วนคู่กัดอย่าง”สหรัฐ”ยังฝันหวานเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งเป็นรูปตัว V
  • จีนทิ้งห่างจนตามไม่ทันแล้วด้วยตัวเลขส่งออกที่พุ่งขึ้น 11.6% เกินดุลการค้าเกือบ 5 แสนล้านหยวนในเดือน ส.ค.
  • ขณะเดียวกันยังเพิ่มฐานสาธิตอีเมิร์ชแห่งชาติ เป็น 127 แห่งทั่วประเทศ

.เส้นตาย 15 ต.ค.บรรลุข้อตกลง EU

นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษกำหนดเส้นตายในวันที่ 15 ต.ค.นี้ เพื่อบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป(Brexit) ดยระบุว่า หากไม่สามารถตกลงกันได้ภายในวันดังกล่าว อังกฤษก็พร้อมที่จะออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง no-deal Brexit เมื่อระยะเปลี่ยนผ่านสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ แม้อังกฤษได้สิ้นสุดการเป็นสมาชิก EU ไปตั้งแต่ 31 ม.ค.63 แล้ว แต่ก็ยังต้องดำเนินการตามกฎระเบียบต่างๆในช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงวันที่ 31ธ.ค.63 ตั้งแต่การค้าไปจนถึงความมั่นคง ทำใ้ห้อัง กฤษยังคงเป็นสมาชิก EU และสหภาพศุลกากร รวมทั้งตลาดเดี่ยวของ EU

โดยอังกฤษจะยังคงอยู่ภายใต้กฎหมาย EU และต้องจ่ายเงินสมทบแก่ EU เหมือนประเทศสมาชิกอื่นๆแต่จะไม่มีสิทธิส่งตัวแทนเข้าไปนั่งในรัฐสภา EU ไม่มีสิืธิออกเสียงทุกเรื่องและร่วมประชุมสุดยอดไม่ได้ แต่การค้ารอังกฤษ และ EU ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ภาษี หรือตั้งด่านตรวจสินค้า และไม่มีการเปลี่ยนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับบริษัทต่างๆของอังกฤษ แต่หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอังกฤษ และ EU จะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาที่เกิดขึ้น

.ยอดส่งออกจีนเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 11.6% 

สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 11.6% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวลง 0.5% โดยทั้งยอดส่งออกและนำเข้าของจีนคำนวณในรูปสกุลเงินหยวนแล้ว จีนเกินดุลการค้า 416,590 ล้านหยวน

หากคำนวนเป็นเงินดอลลาร์ ยอดส่งออกจีนปรับตัวขึ้น 9.5% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 2.1%

.ตั้งฐานสาธิตอีคอมเมิร์ซแห่งชาติอีก 15 แห่ง

  รัฐบาลจีนอนุมัติฐานสาธิตอีคอมเมิร์ซแห่งชาติเพิ่มอีก 15 แห่ง สนับสนุนการพัฒนาในภาคอีคอมเมิร์ซ โดยฐานสาธิตอีคอมเมิร์ซระดับชาติเหล่านี้ เป็นแหล่งรวมบริษัทอีคอมเมิร์ซท้องถิ่น ความเป็นผู้ประกอบการ และแพลตฟอร์มนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้อนุมัติใบอนุญาตแก่กลุ่มฐานใหม่ ระหว่างการประชุมด้านอีคอมเมิร์ซในงานมหกรรมการค้าภาคบริการนานาชาติแห่งประเทศจีน 2020 (CIFTS)ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติจีนที่กรุงปักกิ่ง

  กรณีนี้ทำให้จำนวนฐานสาธิตอีคอมเมิร์ซทั้งหมดของจีนอยู่ที่ 127 แห่ง  รัฐบาลจีนให้ความสำคัญยิ่งกับการพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19ด้วยการฟื้นฟูการบริโภคและส่งเสริมให้การดำเนินการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานของการค้าต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น

.”ทรัมป์”ทริกกี้ ลั่นยุติการพึ่งพาจีนสมัยที่ 2 

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่ง สหรัฐแถลงที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะลดระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสหรัฐและจีน พร้อมขู่จะใช้มาตรการลงโทษบริษัทของสหรัฐที่ไปสร้างงานในต่างประเทศ และจะกีดกันบริษัทที่เข้าไปลงทุนในจีนไม่ให้ได้รับสัญญาทางธุรกิจกับรัฐบาลกลางสหรัฐ”เราจะผลิตชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในด้านการผลิตภายในประเทศ เราจะให้เครดิตภาษีแก่สินค้าที่ตีตรา’Made in America’ และนำตำแหน่ง งานกลับคืนสหรัฐ พร้อมเรียกเก็บภาษีบริษัทที่ออกไปสร้างงานในจีนและในประเทศอื่น “หากบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถทำธุรกิจในสหรัฐ ก็ปล่อยให้พวกเขาเสียภาษีก้อนใหญ่เพื่อออกไปสร้างงานในต่างประเทศ และส่งสินค้ากลับมาขายในประเทศเรา” และ ว่า เขาจะบังคับใช้มาตรการนี้เมื่อกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 แต่หากนายโจ ไบ เดน ชนะเลือกตั้ง ก็เท่ากับจีนได้รับชัยชนะด้วย เพราะจีนจะครอบครองสหรัฐ”นี่เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ตราบใดที่สหรัฐขับเคลื่อนภายใต้คณะทำงานของผม เราจะทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่มีอำนาจด้านการผลิตมากที่สุดในโลก และยุติการพึ่งพาจีนทันที”

.จีนเริ่มส่งรถไฟอัตโนมัติ 72 ขบวนให้ไทย

  บริษัทซีอาร์อาร์ซี ผู่เจิ้น บอมบาร์ดิเออร์ ทรานสปอร์เทชัน ซิสเต็ม จำกัด(PBTS)  เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มจัดส่งรถไฟที่ผลิตในจีนไปยังไทยแล้วรวม 72 ขบวน บริษัทระบุว่ารถไฟ 72 ขบวนนี้มีเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับโดยสมบูรณ์ สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และความสะดวกสบายโดย 2 ขบวนแรกเริ่มดำเนินส่งจากเมืองอู๋หู มณฑลอันฮุยฐานการผลิตของบริษัทไปยังไทยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิ.ย. 60 บริษัทลงนามในข้อตกลงกับหน่วยงานด้านการรถไฟไทย เพื่อผลิตและขนส่งรถไฟ 72 ขบวนรวม 288 ตู้ โดยมีกำหนดขนส่งเสร็จในต้นปี 65

.ญี่ปุ่นลดประมาณการ GDP หดตัว 28.1%

  สำนักคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ปรับลดตัวเลข GDP ในไตรมาส 2 หดตัวลง 28.1% เมื่อเทียบรายปี จากการประเมินเบื้องต้นหดตัว 27.8% เพราะการลงทุนในภาคธุรกิจชะลอตัวลงอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส GDP หดตัวลง 7.9% การอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบจากมาตรการฉุกเฉินทั่วประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นขอให้ประชาชนอยู่แต่ใน บ้าน และสั่งระงับการดำเนินธุรกิจที่ไม่จำเป็น พร้อมใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดใน เมืองใหญ่หลายแห่ง ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการผลิตและส่งออกของญี่ปุ่น

การหดตัวของ GDP ครั้งนี้หนักที่สุดนับแต่ปี 2498 การใช้จ่ายด้านทุนร่วง 4. 7% ทรุดตัวลงหนักจากตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าปรับลดงเพียง 1.5% ส่วนการอุปโภคบริโภค ซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจนั้น ปรับตัวลง 7.9% การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 1.1% แต่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร่วงลง 18.5% การนำเข้าลดลง 0.5%

.”ทรัมป์”เร่งผลักดันวัคซีนต้านโควิดในต.ค. 

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่ง สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐอาจอนุมัติวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเดือนต.ค.นี้ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.”แทนที่จะต้องใช้เวลานาน 2 หรือ 3 ปี เราควรใช้เวลาสั้นๆ ในการอนุมัติวัคซีนต้านโควิด-19 และการอนุมัติควรจะเกิดขึ้นในเดือนต.ค.” 

แต่เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขและนักวิทยาศาสตร์หลายคนแสดงความกังวลว่า FDA กำลังเผชิญแรงกดดันจากทำเนียบขาวให้อนุมัติวัคซีนก่อนการเลือกตั้งปธน.สมัยที่ 2 ในวันที่ 3 พ.ย. และชาวอเมริกันก็อาจไม่เต็มใจที่จะฉีดวัคซีนหากเชื่อว่า วัคซีนถูกเร่งเข้าสู่ตลาดจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แต่ปธน.ทรัมป์ ยืนกรานว่า “วัคซีนจะมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพอย่างมาก และจะมีการวางจำหน่ายในไม่ช้านี้ พวกคุณจะรู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น”

.ญี่ปุ่นจ่อคลายล็อกดาวน์รับไม่เกินห้าพันคน

  รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะผ่อนคลายมาตรการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมการแข่งขันกีฬาระดับอาชีพ คอนเสิร์ต และงานอีเวนท์ต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในเดือนนี้ หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเริ่มส่งสัญญาณลดลง ตามมาตรการดังกล่าว รัฐบาลจะอนุ ญาตให้สถานที่จัดกิจกรรมรับผู้เข้าชมได้ไม่เกิน 50% ของความจุตามปกติ หรือไม่เกิน 5,000 คน โดยรัฐบาลญี่ปุ่นจะพิจารณาอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 19 ก.ย.นี้ และจะมีการหารือแผนดังกล่าวในการประชุมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขวันศุกร์นี้

.”ทรัมป์”คาดปี 64 ฟื้นแบบ”super V”

  ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่ง สหรัฐ แสดงความพอใจกับตัวเลขการจ้าง งานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.ที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด และอัตราว่างงานที่ลดลงอย่างมาก ด้วย ปธน.ทรัมป์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า และจะเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นรอบสุดท้าย ซึ่งหากเขาได้รับเลือกให้เป็นปธน.สหรัฐอีกครั้ง การแพร่ระบาดรอบใหม่จะไม่เกิดขึ้น”ขณะนี้เรามีหลักฐานบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานฟื้นตัวรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และผมคาดว่าในปีหน้าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจเติบโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเรา ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวเป็นรูปตัว V หรืออาจจะเป็น “super V” ด้วย 

ทั้งนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค.สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.255 ล้านตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเดือนส.ค. ลดลงสู่ระดับ 8.4% จากระดับ 10.2% ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 9.8%

.เตือนธ.ค.จะเป็นเดือนมรณะ

สถาบัน Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME)ที่วิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน คาดการณ์ว่า เดือนธันวาคมจะเป็นเดือนมรณะ หรือ “Deadly December” ซึ่งจะมีผู้เสียชีวิตเกือบ 30,000 รายในแต่ละวัน เนื่องจากซีกโลกเหนือจะเข้าสู่ฤดูหนาว ดร.คริสโตเฟอร์ เมอร์เรย์ ผู้อำนวยการสถาบัน IHME เปิดเผยว่า ไวรัสโคโรนาจะแพร่กระจายได้ดีกว่าในสภาพอากาศหนาวเย็น เหมือนกับโรคปอดบวม เป็นเหตุให้เดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ดร.เมอร์เรย์ ยังเตือนคนอเมริกันว่า อย่าการ์ดตก”วิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนพร้อมหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การสวมหน้ากาก รักษาระยะห่างทางสังคมและจำกัดการรวมตัวพบปะสังสรรค์เป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยยับยั้งการระบาด ของไวรัสได้”

 เขายังเตือนด้วยว่าไม่ให้ใช้ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) ซึ่งหมายถึงภูมิคุ้มกันหมู่ที่เกิดขึ้นหลังประชากรจำนวนมากมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสจากการติดเชื้อและหายจากโรคแล้ว เพราะภูมิคุ้มกันหมู่ “ละเลยทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และศีลธรรม วยการปล่อยให้หลายล้านชีวิตถูกคร่าไปทั้งที่หลีกเลี่ยงได้”

  สำหรับตัวเลขคาดการณ์ยอดผู้เสียชีวิตนั้น ในกรณีที่มีแนวโน้มจะเกิดที่สุด จากข้อสันนิษฐาน ยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมจะอยู่ที่ราว 2.8 ล้านคน ณ วันที่ 1 ม.ค.64 และ10 ประเทศที่คาดว่าจะมียอดผู้เสียชีวิตสูงสุดได้แก่ อินเดีย สหรัฐ บราซิล เม็กซิโก ญี่ปุ่น รัสเซีย ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สเปน และฟิลิปปินส์