“อาคม”ประชุมรมว.คลัง-ผู้ว่าฯธนาคารกลาง G20 ชูนโยบายลดผลกระทบศก.ถดถอย

  • เชื่อมั่นนโยบายของภาครัฐ
  • เอื้อต่อการลงทุน
  • เพื่อการพัฒนาในระยะยาว

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในห้วงการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประจำปี 2565 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 12-13 ตุลาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 ประจำปี 2565 ตามคำเชิญของกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย ในฐานะประธานการประชุม G20



โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย ผู้แทนสหภาพยุโรป ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย และประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ 11 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ และตุรกี ทั้งนี้ ขนาดเศรษฐกิจของสมาชิก G20 คิดเป็น 80% ของเศรษฐกิจโลก และมีจำนวนประชากรรวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของโลก

นายพรชัย กล่าวว่า การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 ในปีนี้ มีหัวข้อหลัก ได้แก่ Recover Together, Recover Stronger ซึ่งมีการหารือถึงประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (1) เศรษฐกิจโลก (2) สถาปัตยกรรมการเงินระหว่างประเทศ (3) กฎระเบียบภาคการเงิน (4) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (5) การเงินที่ยั่งยืน และ (6) ภาษีระหว่างประเทศ



โดย รมว.คลัง ได้แสดงความเห็นต่อที่ประชุมว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน คือ การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและพลังงาน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยภาครัฐควรใช้นโยบายการคลัง เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้มีรายได้น้อย เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

รวมทั้งได้แสดงความเห็นสนับสนุนการดำเนินการของ G20 เรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสาธารณูปโภค ระบบขนส่งและดิจิทัล รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งจะเอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต การเสริมสร้างขีดความสามารถและความเชื่อมโยง รวมถึงการสร้างการพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน โดยในส่วนของแหล่งเงินทุนนั้น ประเทศไทยได้ส่งเสริมการจัดหาเงินทุนเพื่อความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนของรัฐบาล หรือการออกตราสารหนี้ของภาคเอกชน



นอกจากนี้ รมว.คลัง ได้สนับสนุนความคืบหน้าของความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการดำเนินการภายใต้กรอบ G20/OECD Base Erosion and Profit Shifting (BEPS) และเห็นว่าภาครัฐควรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ทั้งนี้ ประเทศสมาชิก G20 ควรสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการพัฒนาและปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีต่อไป

ทั้งนี้ในวันที่ 13 ตุลาคม 2565 รมว.คลัง ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินเอกชน ได้แก่ Mitsubishi UFJ Financial Group และ HSBC เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและมุมมองเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจการเงินของไทย รวมทั้งหารือถึงการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองสถาบัน ได้แสดงความสนใจและเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก และเชื่อมั่นว่านโยบายของภาครัฐจะเอื้อต่อการลงทุนเพื่อการพัฒนาในระยะยาวต่อไป