สแกนตลาดคอนโดมิเนียม ชี้ทำเล “เพลินจิต-ชิดลม-หลังสวน” อยู่ในภาวะสมดุล ลูกค้าเป๋าหนักซื้อต่อเนื่อง

  • “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” เผยผลสำรวจคอนโดมิเนียม พบโซนศูนย์กลางเศรษฐกิจยังมีความต้องการต่อเนื่อง 
  • มีอัตราการดูดซับสูงขึ้นถึง 53% เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 
  • ชี้การผ่อนปรนมาตรการแอลทีวี-ผู้กู้ร่วม มีส่วนทำให้ตลาดเติบโตในทิศทางที่ดี 

น.ส.สุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยถึงมุมมองต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า จากการเข้มงวดในมาตรการกำกับดูแลของภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ตลอด ทำให้มาตรการและหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ มีความรัดกุมจนมีสัดส่วนหนี้เสียเกิดขึ้นในช่วง 5 ปีนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูง ราว 3% จึงมองว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดวิกฤติฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์เช่นปี 2540 

ทั้งนี้สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันยังมีความน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ในบางทำเล เนื่องจากช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หลายทำเลมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีจำนวนยูนิตเหลือขายเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ผู้ประกอบการได้พยายามปรับการลงทุนให้สมดุล โดยเน้นการขายและเร่งโอนโครงการที่สร้างเสร็จตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วถึงไตรมาสแรกของปีนี้ ทำให้เห็นตัวเลขของการขายโครงการเหล่านี้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

สุวรรณี มหณรงค์ชัย

จากการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลของบริษัท โดยประเมินจากข้อมูลอุปสงค์ อุปทาน ความเร็วในการขาย และจำนวนยูนิตเหลือขาย วิเคราะห์เปรียบเทียบในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีบางพื้นที่เท่านั้นที่มีภาวะปริมาณยูนิตที่ล้นความต้องการ โดยในปี 2562 จากการสำรวจตลาดในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ พบว่ามีที่อยู่อาศัยเหลือขาย 77,379 ยูนิต จากปี 2561 ที่มีเหลือขาย 79,671 ยูนิต 

ทั้งนี้หากจำแนกตามรายโซนจากการสำรวจตลาดปี 2562 ในช่วง 6 เดือนแรก พบกว่า โซนกรุงเทพฯชั้นใน มีจำนวนเหลือขาย 10,453 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาขายเฉลี่ย 12 เดือน (ในกรณีไม่มีโครงการใหม่มาเปิดขายเพิ่มในพื้นที่) ส่วนพื้นที่ที่ตลาดยังอยู่ในภาวะสมดุลคือทำเลเพลินจิต-ชิดลม-หลังสวน ที่ดูดซับได้ดีขึ้นราว 53% เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมียูนิตเหลือขาย จำนวน 645 ยูนิต คาดว่าจะใช้เวลาขายหมดในเวลาประมาณ 10 เดือน 

สำหรับโซนกรุงเทพฯชั้นกลาง มีจำนวนเหลือขาย 14,662 ยูนิต คาดว่าจะใช้เวลาขายหมดใน 16 เดือน โดยพบการทยอยดูดซับในพื้นที่พระราม 3 ที่มีจำนวนเหลือขาย 1,981 ยูนิต มีการดูดซับดีขึ้นราว 17% เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นกว่า 5 ยูนิตต่อโครงการต่อเดือน และโซนกรุงเทพฯชั้นนอก มีจำนวนเหลือขาย 52,264 ยูนิต คาดว่าจะใช้เวลาขายเฉลี่ย 21 เดือน พบการเติบโตของดีมานด์ในพื้นที่มีนบุรี โดยมีจำนวนเหลือขาย 8,690 ยูนิต ที่คาดว่าจะขายหมดในระยะเวลา 9  เดือน ซึ่งเร็วกว่าค่าเฉลี่ยรวมในโซนกรุงเทพฯชั้นนอก 

“สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน ผู้ประกอบการเริ่มมีการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับกลยุทธ์ เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะคอนโดฯล้นตลาด ซึ่งพบว่ามีโซนที่การเติมสินค้าใหม่เข้าตลาดโดยรวมค่อนข้างสมดุลกับอุปสงค์ในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้มองว่าหากผู้ประกอบการมีความระมัดระวัง เน้นการระบายโครงการเก่า และวิเคราะห์สถานการณ์ในการเปิดโครงการใหม่ในช่วงที่เหมาะสม ภาพรวมของทั้งตลาดในระยะยาวจะปรับเข้าสู่ภาวะสมดุล ประกอบกับล่าสุดที่รัฐได้ปลดล็อกเกณฑ์มาตรการแอลทีวี โดยผ่อนปรนข้อบังคับสำหรับผู้กู้ร่วม ก็น่าจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้นได้ ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่อาจจะมีการประกาศในช่วงครึ่งหลังของปี”