สื่อสภาตั้งฉายา”สภาดงงูเห่า”-“ชวน”ใบ มีดโกนขึ้นสนิม

  • สื่อสภาฯ ตั้งฉายาสภาผู้แทนฯ “ดงงูเห่า” –“ ชวน” ฉายา “ใบมีดโกนขึ้นสนิม”
  • ปิยบุตร” คว้าดาวเด่นสภา “ปารีณา” ดาวดับ – สภาทหารเกณฑ์
  • ฉายา ส.ว. “พรเพชร“ค้อนยาง”ยกวันสภาล่มซ้ำซ้อน เป็นเหตุการณ์แห่งปี “

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ตั้งฉายาประจำรัฐสภา เพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ประจำปี 2562โดยตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎรในปีนี้ว่า “ดงงูเห่า” เพราะการหายไปของสภาผู้แทนราษฎรกว่า 5 ปี ทำให้สภาฯ เป็นที่คาดหวัง จะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน แต่จะด้วยผลกระทบจากรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ หรือเป็นนิสัยส่วนบุคคล ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “งูเห่า” ทั้งการประกาศตัวเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฝ่ายค้านอิสระ กลับลงคะแนนสวนทางมติของพรรคร่วมฝ่ายค้านหลายครั้ง เช่น การสวนมติ พ.ร.ก.โอนย้ายอัตรากำลังพล และการแสดงตนร่วมเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาลในการนับคะแนนญัตติการตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากคำสั่ง คสช.ใหม่ เป็นต้น

ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎรปีนี้ สื่อมวลชน ตั้งฉายาให้กับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า “มีดโกนขึ้นสนิม” แม้จะมีความตั้งใจจะให้ประชาชนกลับมาศรัทธาสภาฯ แต่มีดโกนอาบน้ำผึ้ง ที่เคยบาดลึกดูกำลังขึ้นสนิม หลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสภาได้ ทั้งการวินิจฉัยเรื่องการนับคะแนนใหม่ในญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรา 44 จนนำมาสู่เหตุการณ์สภาล่ม ไปจนถึงการพยายามลอยตัวกับปัญหา โดยเฉพาะความขัดแย้งในคณะกรรมาธิการสามัญฯ ทั้งที่เป็นผู้นำสูงสุดของสภา แต่ถึงจะมีสนิม ที่อาจฟันอะไรไม่ขาดทีเดียว แต่หากใครได้โดนแล้ว ยังต้องรู้สึกเจ็บ และต้องรีบฉีดยากันบาดทะยัก เพราะวาจาของนายหัวเมืองตรัง ยังเจ็บจี๊ดไม่เปลี่ยนแปลง

ฉายานายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร  ได้รับฉายาว่า “ขนมจีนไร้น้ำยา” โดย นายสมพงษ์ ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯ ในภาวะที่ฝ่ายค้านไม่ได้เป็นลูกไล่รัฐบาลเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะมีเสียงในสภาที่สูสีกัน และฝ่ายค้าน เคยชนะโหวตรัฐบาลมาแล้วในการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากประกาศ และคำสั่งของ คสช.ตามมาตรา 44 แต่ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังไม่อาจแสดงบทบาท และศักยภาพในการตรวจสอบรัฐบาลให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อเทียบกับผู้นำฝ่ายค้านฯ ในอดีต อีกทั้งยังไม่ปรากฎบทบาทการเป็นผู้นำเพื่อให้การทำงานของสภาฯ เกิดความสมานฉันท์ และเป็นที่จดจำ จึงไม่ต่างอะไรกับขนมจีน ที่ดูน่ารับประทาน แต่เมื่อไร้น้ำยารสเลิศ ก็ทำให้ขนมจีนจานนั้น ไม่ได้อยู่ในสายตา

สำหรับดาวเด่นปีนี้ ได้แก่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เหตุผลหลักที่ทำให้นายปิยบุตร ได้รับตำแหน่งดังกล่าว คือ การเปิดประเด็นเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ครบถ้อยคำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จนนำมาสู่การเปิดประชุม เพื่ออภิปรายทั่วไปของสภาผู้แทนราษฎร และตลอดการทำหน้าที่อภิปรายในสภา ก็ไม่ได้ใช้แต่เพียงวาทะศิลป์เท่านั้น เพราะล้วนมีเหตุผลทางวิชาการ และกฎหมายรองรับ

ส่วนดาวดับแห่งปี หนีไม่พ้น “นางสาวปารีณา ไกรคุปต์” ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้สร้างกระแสในแง่ลบผ่านทางสื่อออนไลน์เป็นระยะ แม้จะแสดงบทบาทตรวจสอบการถือครองที่ดินของมารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับเป็นคนที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบการถือครองที่ดินในจังหวัดราชบุรีของตนเอง ทั้งที่มีตำแหน่งกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งทุกครั้งที่ถูกผู้สื่อข่าวสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว กลับพยายามบ่ายเบี่ยง ถึงขนาดที่กล่าวอ้างว่า ได้ทำ MOU กับนักข่าว เพื่อยุติการสัมภาษณ์โดยไม่มีหลักฐาน สื่อมวลชนจึงหวังว่า นางสาวปารีณา จะมีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในอนาคตหลังได้รับตำแหน่งนี้

สำหรับคู่กัดแห่งปี 2562 ได้แก่ “ปารีณา และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” แม้ว่าจะต่างวัยกันแต่ก็เป็นมวยถูกคู่ นางสาวปารีณา ถูกพรรคพลังประชารัฐ ส่งมาเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อปกป้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์ พยายามเรียกนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงปมการถวายสัตย์ฯ ต่อคณะกรรมาธิการฯ  แต่ปารีณาพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง ถึงขั้นมีการล็อบบี้สมาชิกในพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบกันเองภายในคณะกรรมาธิการ จนงานอื่น ๆ ของคณะกรรมาธิการไม่เดินหน้า ดังนั้น การปะทะของนางสาวปารีณา และพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ จึงมีแต่เพียงวิวาทะที่หาแก่นสารไม่ได้

สำหรับเหตุการณ์แห่งปี 2562 นี้ คือเหตุการณ์ “สภาล่ม” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง 2 วันติดต่อกันระหว่างการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามมาตรา 44 ปฐมเหตุเริ่มมาจากการที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตให้กับฝ่ายค้าน แต่ปรากฎว่า ส.ส.รัฐบาลใช้สิทธิขอนับคะแนนใหม่ จนนำมาสู่การลงคะแนนใหม่ โดยก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวจะต้องมีการนับองค์ประชุมก่อน ทว่าในคืนประชุมแรกเหลือ ส.ส.ร่วมเป็นองค์ประชุมเพียง 92 คนเท่านั้น และหลังมีการนัดประชุมครั้งใหม่ แต่ก็ยังมีส.ส.เพียง 240 คนไม่ครบองค์ประชุม นับเป็นปรากฎการณ์ที่สร้างภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียให้กับสภาฯ สะท้อนสภาวะการณ์ปัญหาเสียงปริ่มน้ำระหว่างฝ่ายค้่น และฝ่ายรัฐบาลอย่างชัดเจน

สำหรับวาทะแห่งปี 2562 คือ “ตัดพี่ตัดน้อง” เกิดขึ้นในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐบาล ระหว่างที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยอภิปรายโจมตีรัฐบาลดุเดือด กล่าวหาว่า โกงเลือกตั้งจนได้กลับสู่ตำแหน่งโดยไม่สุจริต จนเกิดวาทะดังกล่าว ที่พลเอกประยุทธ์ พูดกลางที่ประชุมรัฐสภา เพื่อตอบโต้พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์ ว่า “เรารู้จักกันมานาน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม แต่งงานวันเดียวกัน แต่วันนี้ไม่ถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกแล้ว เพราะท่านไม่เกียรติผม เคยพูดว่าจะชักปืนยิงผม ถ้ายิงจริง ท่านก็ติดคุกไปแล้ว ท่านพูดจาหยาบคาย เหรียญรามาผมก็ได้ แต่ไม่เคยอวดอ้างอำนาจ และให้ไปทบทวนตัวเอง” จากการตัดพี่ตัดน้องในวันนั้น

ขณะที่ วุฒิสภา หรือ 250 ส.ว. ได้รับฉายา “สภาทหารเกณฑ์” ตามกลไกที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดให้มีวุฒิสภาแบบพิเศษใน 5 ปีแรกด้วยการคัดเลือกโดย คสช. และ ส.ว.ชุดปัจจุบันจำนวนไม่น้อยมาจากบุคคลที่เคยเป็นสมาชิกสนช.ที่คสช.เคยแต่งตั้งอีกด้วย ทำให้ ส.ว.เปรียบเสมือนเป็นทหารที่ถูก คสช.เกณฑ์เข้ามา ที่ไม่เพียงมีหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรกเท่านั้น แต่ยังมีภารกิจ ในการเทคะแนนเลือกพลเอกประยุทธ์ ให้หวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และในอนาคตกำลังจะมีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคกำลังจองกฐินเตรียมแก้ไขไว้ด้วย

สำหรับฉายานายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ปีนี้ได้ฉายา “ค้อนยาง” จากเหตุที่ก่อนหน้านี้ เคยดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติสมัย คสช. มาก่อน แต่เมื่อมาทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา บทบาทและอำนาจหน้าที่ที่เคยมีนั้นหายไป ทำให้สมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ส.ฝ่ายค้านไม่ยำเกรงในบารมีของประธานวุฒิสภา เห็นได้จากการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะทุกครั้งที่นายพรเพชรขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุม ในฐานะรองประธานรัฐสภา จะถูกส.ส.ลองของ จนควบคุมการประชุมไม่ได้ โดยเฉพาะการปะทะคารมกันระหว่าง “พลเอกประยุทธ์” และ “พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์” จนนำมาซึ่งความวุ่นวายกลางที่ประชุม แม้ประธานวุฒิสภา จะประเดิมการใช้ค้อนทุบบนบัลลังค์ เพื่อให้เกิดความสงบ แต่กลับสะท้อนผลตรงข้าม จึงสะท้อนให้เห็นว่า ค้อนที่นายพรเพชรถือไว้นั้นเป็นแค่ “ค้อนยาง” เท่านั้น  

สำหรับตำแหน่ง คนดีศรีสภาฯ ปี 2562 นี้ สื่อมวลชนประจำรัฐสภา พิจารณา และลงมติร่วมกันแล้วว่า ยังไม่มีใครเหมาะสมที่จะได้ตำแหน่งดังกล่าว โดยการตั้งฉายาสภาประจำปี ของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้ว่างเว้นวรรคไป 5 ปี ซึ่งในปี 2562 ที่มีการเลือกตั้ง สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกัน ที่จะตั้งฉายาสภา เพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติในรอบปีที่ผ่านมา โดยปราศจากอคติ และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองแต่อย่างใด