รถไฟไทยเตรียมเปิดหวูด!ทดสอบเดินรถ“อุลตร้าแมน”หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าน้องใหม่ก่อนเปิดให้บริการขนส่งสินค้าและเชิงพาณิชย์ทั่วประเทศ

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)เปิดเผยว่า ตามที่รฟท. ได้มีการจัดหา และรับมอบรถจักรดีเซลไฟฟ้า (Diesel Electric Locomotive) รุ่นใหม่ น้ำหนักกดเพลา 16 ตัน/เพลา พร้อมอะไหล่ ระยะที่ 1 จำนวน 20 คัน จากกิจการร่วมค้า เอสเอฟอาร์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 65 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นรถจักรดีเซลไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของไทยนั้น 

ขณะนี้ รฟท.ได้ดำเนินขั้นตอนการตรวจรับ เช็คสภาพความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์ อะไหล่ต่างๆ ของรถทั้ง 20 คันเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อวันที่ 27 เมษายน 65 ได้เริ่มทำการทดสอบหัวรถจักรเป็นครั้งแรก โดยใช้ลากจูงขบวนรถโดยสาร 115 คัน ที่มีน้ำหนักประมาณ 1,000 ตัน จากย่านสถานีกลางบางซื่อ-ชุมทางฉะเชิงเทรา ซึ่งผลการทดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี

ทั้งนี้ รฟท.จะมีการทดสอบอีกครั้ง ในวันที่ 9 พฤษภาคม 65 โดยใช้ลากจูงขบวนรถสินค้าที่มีน้ำหนัก 2,100 ตัน จากชุมทางศรีราชา – ไอซีดีลาดกระบัง โดยเมื่อทำการทดสอบเสร็จสิ้น การรถไฟฯ มีแผนจะนำไปเปิดให้บริการขนส่งสินค้า และเดินขบวนรถเชิงพาณิชย์ (รถทางไกล) ในเส้นทางต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพ – เชียงใหม่  กรุงเทพ – หนองคาย และกรุงเทพ – สุไหงโกลก เป็นต้น เพื่อทดแทนหัวรถจักรเดิมที่มีอายุการใช้งานมายาวนานรองรับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทั่วประเทศต่อไป 

สำหรับรถจักรดีเซลไฟฟ้า (Diesel Electric Locomotive) ถือเป็นรถจักรดีเซลไฟฟ้าคุณภาพสูง ทำความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม. ผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัยจากบริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) ผู้ผลิตรถจักรดีเซลชั้นนำของประเทศจีน และใช้เครื่องยนต์ที่ผลิตจากประเทศเยอรมนี  มีลักษณะภายในและภายนอกโดดเด่น ทันสมัย ใช้โทนสีแดงสลับเทา จึงได้รับฉายาว่า “อุลตร้าแมน”  โดยมีเป้าหมายนำเข้ามาใช้ทดแทนรถจักรเดิมที่มีอายุการใช้งานมายาวนาน และช่วยเสริมศักยภาพการให้บริการแก่ผู้โดยสารและขนส่งสินค้า ตลอดจนรองรับการขยายโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่จะเปิดใช้ในอนาคต

“รถไฟ มั่นใจว่ารถจักรดีเซลไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้ จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่พี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะถือเป็นรถจักรที่มีความทันสมัย มีสมรรถนะการใช้งานที่ดีกว่าเดิม ซึ่งช่วยให้ทั้งการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารมีความรวดเร็ว ปลอดภัย รวมถึงช่วยสร้างโอกาสในการหารายได้ของการรถไฟฯ และยกระดับศักยภาพการขนส่งทางรางให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี”