“ภูมิธรรม” เพื่อไทย อัดกลับ“เกียรติ”​ ประชาธิปัตย์ พร้อมแจกแจง ตอบคำถาม 5 ข้อ

  • ร่ายยาวแจกทุกข้อทุกประเด็น
  • ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยอะไรทั้งสิ้น
  • ไม่เคยได้คุยกับผู้ออกนโยบายพรรคเพื่อไทยอะไรทั้งสิ้น ใช้ความรู้ความเข้าใจอธิบาย

นายภูมิธรรม เวชยชัย  รองหัวหน้าเพื่อไทย กล่าวว่า ขอตอบ นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตประธานคณะกรรมการบริหาร หอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย จากพรรคประชาธิปัตย์  ระบุว่า “ร้านค้าจะยอมรับเงินดิจิตอลไหม ถ้ารับแล้ว เอาไปเบิกเป็นเงินสดที่ไหน รัฐบาลจะเอาเงินตั้ง 5แสนล้านมาจากไหน”

โดยรัฐบาลเพื่อไทย สามารถเขียนโค๊ด ไปเชื่อมระบบกับแอปเป๋าตังค์ เหมือนกับกองสลากฯเขียนโค๊ด ไปเชื่อมระบบ ขายสลากดิจิตอล นั่นแหละ นายเกียรติ คงพอคิดได้นะว่า ประชาชน จะใช้เงินดิจิตอลได้อย่างไร แต่เดาว่า พรรคเพื่อไทยจะสร้างแอปฯของตัวเองขึ้นมาใหม่ การใช้งาน ไม่ต่างกับแอปฯเป๋าตังค์ และอาจดีกว่าด้วย เช่นเสริมความรู้ การทำธุรกิจ ลิงค์กับแหล่งทุนต่างๆเป็นต้น(แฮ่ๆ อันนี้เดา)

ในส่วนของร้านค้า ที่นายเกียรติ ถามว่า จะไปขึ้นเงินที่ไหน?

ระบบจะไม่ให้ร้านค้าไปขึ้นเงิน แต่ให้ไปซื้อสินค้ามาทดแทนสินค้าที่ขายไปแล้ว การไหลของเงินดิจิตอล จะเริ่มต้นจากประชาชนไปร้านค้าในโครงการ ร้านค้าจะไปซื้อสินค้าจากผู้ค้าส่ง ผู้ค้าส่ง จะไปซื้อจากตัวแทนขาย ตัวแทนขาย จะไปซื้อจากโรงงานผู้ผลิตสินค้า โรงงาน ผู้ผลิตในขั้นตอนสุดท้าย จึงสามารถเบิกเป็นเงินสดออกมาได้ หรือจะออกแบบระบบ ให้ไกลไปกว่านั้น ให้โรงงานผู้ผลิต เอาไปซื้อวัตถุดิบ มาผลิตสินค้า อีกขั้นตอนหนึ่งก็ได้ 

จากระบบนี้ จะเห็นว่า รัฐบาลเริ่มมีรายได้จากvat รอบแรกเมื่อร้านค้าไปซื้อของมาเติมสินค้า และทั้งระบบจะได้vat หลายรอบกว่าจะเบิกเป็นเงินสด 

รัฐบาลสามารถ บริหารจัดการแยกรายได้vatในโครงการนี้ ว่าได้กลับคืนมาเท่าไร เพราะเงินดิจิตอล มันมีรหัส ประจำเหรียญ ทุกตัว blockcnain จึงเอามาบริหารจัดการทั้งระบบได้ รัฐบาลเพื่อไทยสามารถเอามาเป็นต้นแบบ ในการออกโครงการต่อไปได้ 

สิ่งที่ผู้ค้าทั้งระบบ จะได้รับผลดีจากการใช้เงินดิจิตอล 

เงินดิจิตอล เป็นเงินที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำสุด และใช้เวลาต่ำสุด เมื่อเทียบกับการใช้ผ่านตัวกลางคือธนาคาร ที่เป็นระบบเดิม ที่ดีที่สุด ที่ประเทศจะได้รับอย่างมหาศาลคือ มันป้องกันคอรัปชั่น blockchain มันจะควบคุมระบบ มันจะรู้ทุกเหรียญว่า ตอนนี้ไปอยู่ที่ใครเท่าไร ได้รับมาเพราะผู้ที่เอามาใช้ ใช้ชำระอะไร 

ประเทศไทย ถึงเวลาที่จะใช้blockchainมาควบคุมการบริหารจัดการได้แล้วครับ ทั้งระบบงบประมาณ ควรเป็นเงินดิจิตอล จะป้องกันคอรัปชั่น การทำสัญญาที่รัฐทำกับเอกชน ควรเป็นเงินดิจิตอล ข้าราชการ นักการเมือง ทหาร ตำรวจ จะคอรัปชั่นไม่ได้ เพราะblockchainจะฟ้องว่า ไอ้นี่โกง ไปจับมันเข้าคุก

เอาเงินมาจากไหน?

ก็ตั้งงบประมาณขาดดุล เพื่อแยกเงินนี้ออกไปไม่กระทบกับงบประมาณแผ่นดิน รู้ไหมว่า 9 ปี ของรัฐบาลประยุทธ ใช้งบประมาณขาดดุลตลอด9 ปีปีละ 2-3 แสนล้าน และนัั่นใช้เงินจริงๆด้วย ถ้าเก็บภาษีไม่ได้กู้กู้เงินมาใช้ แต่ งบประมาณขาดดุลของเพื่อไทย ตั้งมาเพื่อให้มีเงินบาท เป็นกำแพงให้โทเค็นในโครงการนี้พิงเท่านั้น ให้รับรู้ว่า ทุก1 โทเค็น มีเงิน1 บาท รองรับอยู่

การแสดงความเห็น ของนายเกียรติ แสดงให้เห็นถึงการขาดความรู้อย่างยิ่ง ยิ่งมองไปที่ตำแหน่ง เคยเป็นถึง ประธานหอการค้า ยิ่งเศร้าใจที่ประเทศไทย ได้คนที่โง่เขลา ขาดความรู้ขนาดนี้ มาทำหน้าที่

“ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยอะไรทั้งสิ้น ไม่เคยได้คุยกับผู้ออกนโยบายพรรคเพื่อไทยอะไรทั้งสิ้น ใช้ความรู้ความเข้าใจอธิบาย ในฐานะ ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์จากฮาร์วาร์ด เท่านั้น พอเห็นคุณเศรษฐาปราศัย นักเศรษฐศาสตร์ ที่อยู่ในวงการเงินดิจิตอล และใช้blockchainในการควบคุมกิจการหลายประเทศของผม จะเข้าใจทั้งระบบได้ ทันที ถึงสิ่งที่ชาติจะได้จากโครงการนี้”

ทั้งนี้ขอเสริมข้อมูลจากเฟสบุ๊ค Kaset Dee โดยเงินดิจิตอลของเพื่อไทยในสายตานักเศรษฐศาสตร์

พอดีมีคนส่งความเห็นเกี่ยวกับนโยบาย เรื่องเงินดิจิตอลของเพื่อไทยในสายตาของนักเศรษฐศาสตร์ มาให้อ่านครับ ผมอ่านแล้วเห็นว่ามีประเด็นน่าสนใจครับ เลยเอามาให้อ่านต่อ โดยเฉพาะเรื่องแหล่งที่มาของงบประมาณ ที่ว่างบปี 2567 กว่าจะใช้ได้ต้องล้าช้า การส่งเงิน Digital ให้ประชาชน จะทำให้เงินเข้าสู่ระบบโดยเร็ว

ความเห็นโดยนักเศรษฐศาสตร์ปริญญาเอกจาก USA อาวุโส

เกี่ยวกับนโยบายถุงเงินดิจิตอล ของพรรคเพื่อไทย 

เป็นความคิดสร้างสรรค์ด้านนโยบายของพรรคการเมืองที่น่าสนใจ โดยผนวกเทคโนโลยีดิจิตอลกับการช่วยเหลือคนรากหญ้าในท้องถิ่น เป็นการหาเสียงที่ได้ทั้งระยะสั้นและมีผลระยะยาวด้วย

สนันสนุนครับ ในสายตานักเศรษฐศาสตร์ครับ

ขอขยายความครับ

1. เนื้อแท้ของนโยบายที่เสนอ คือการแจกเงินให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป  (กะว่ามีประมาณ 54-55 ล้านคน) คนละ 10,000 บาทเพื่อไปใช้จ่ายตามเงื่อนไข (ดูข้างล่าง) ดังนั้น ทั้งชนชั้นร่ำรวย ชนชั้นกลาง และชนชั้นรากหญ้าได้หมด คนละ 10,000 บาท … เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ (น่าจะ 50 ล้านคน) เป็นคนรากหญ้า หรือชนชั้นกลาง ส่วนตัวก็มองว่าเป็นการชดเชยคนที่ลำบากในช่วงโควิดได้  

อีกประเด็นหนึ่งคือ การแจกให้ทุกคน (ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป) ในทางปฏิบัติ ทำงานง่าย ไม่ต้องแยกคนรวยคนจนแบบบัตรคนจนที่ต้องมาลงทะเบียน (ดูข้างล่าง จะเห็นว่ากันคนรวยออกไปในทางปฏิบัติ)

2. เงื่อนไขต่อไป คือ นำไปซื้อของจากผู้ประกอบการที่อยู่ในท้องถิ่น (เข้าใจว่า ตั้งใจช่วยเหลือคนรากหญ้า) ก็เป็น (ความเห็นส่วนตัวว่าเป็น) การชดเชยคนรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบในทางลบในช่วงโควิดอีกชั้นหนึ่งเป็นชั้นที่สอง  ทั้งนี้ ให้อยู่ในรัศมี 4 กม. ก็แสดงว่า ต้องการช่วยคนท้องถิ่น ไม่ใช่เป็นการเอื้อบริษัทยักษ์ใหญ่ (อย่างในรัฐบาลประยุทธ์ ) แถมยังให้จบภายใน 6 เดือน ก็เป็นเรื่องระยะสั้น

3. ถ้าแจกเงินโดยโอนเข้าบัญชีธนาคารของประชาชนแบบในอดีต รัฐบาลจะคุมให้เข้าเงื่อนไขในข้อ 2 ได้ยาก  ตรงนี้แหละที่นำเทคโนโลยี Block Chain เข้ามาช่วยให้เข้าเงื่อนไขได้  โชคร้ายที่เป็นเรื่องใหม่ในตอนนี้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่อง Blockchain (ทำนองเดียวกับสมัยก่อนที่จะมี wifi คนที่รับฟังเรื่อง wifi ในช่วงแรกก็งงอยู่ว่า ข้อมูลต่างๆจะลอยผ่านอากาศมาเข้าเครื่องมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร) เพราะฉะนั้น ในชั้นนี้ ก็ให้เชื่อไปก่อนว่า  Blockchain ทำให้เข้าเงื่อนไขได้จริง ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทดลอง Digital money ที่ทำงานบน Blockchain platform อยู่แล้ว นโยบายที่เสนอนี้ ถือว่า เป็นการต่อยอดจาก ธปท ไม่ใช่ต้องสร้างระบบใหม่ทั้งหมด ในทางกลับกัน นโยบายนี้จะเร่งทำให้ Digital Money ของ ธปท ประสบความสำเร็จ (คือคนส่วนใหญ่ใช้เป็น) อย่างรวดเร็ว อีกประเด็นหนึ่งคือ สื่อมวลชนหลายแห่งเรียกนโยบายนี้ว่า ถุงเงินดิจิตอล (Digital Wallet) ซึ่งก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก เพราะอย่างที่พูดไปแล้ว เป็นการแจกเงินแบบมีเงื่อนไขที่ควบคุมโดย Blockchain 

4. เมื่อพิจารณาข้อ 1-3 ข้างต้น และคิดตาม น่าจะสรุปได้ว่า คนที่จะใช้ Digital Money ได้ตามเงื่อนไข น่าจะเป็นคนรากหญ้าและชนชั้นกลางมากกว่า เพราะคนร่ำรวยจริงๆ ไม่ใช้ของแบบคนจน ก็เท่ากับเป็นการกันคนร่ำรวยโดยปริยายในทางปฏิบัติ  โดยต้นทุนในการกันค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ Propensity to consume เมื่อเทียบกับรายได้ของคนยากจนน่าจะใกล้ 1 แปลว่า ได้เท่าไหร่ ใช้หมด

5. ประเด็นต่อไปคือ รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน คำตอบคือ กว่ารัฐบาลชุดถัดไปจะเริ่มทำงานได้ ก็อยู่ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2566 การจะตั้งงบประมาณปี 2567 ก็ล่าช้าออกไป การแจกเงินตามนโยบายนี้ เป็นการใช้งบประมาณระยะสั้นได้เร็ว ตามที่เขาแจ้งในคลิป คืออย่างเก่งที่เงินแจกออกไปได้ก็คือ มค 2567 พูดในอีกแง่หนึ่ง การใช้จ่ายงบประมาณปี 2567 ใช้ในโครงการอื่นไม่ทันอยู่แล้ว ก็มาใช้ในนโยบายนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วในระยะสั้น และในวงกว้างด้วย

6. ในแง่หนึ่ง การแจกเงินตามนโยบายนี้ เป็นการเพิ่มการ “บริโภค” ในวงกว้างในระยะสั้นโดยเฉพาะคนยากจนและชนชั้นกลาง โดยสินค้าบริโภคที่ว่าคือสินค้าท้องถิ่นซึ่งน่าจะมีผลต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมและลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนด้วย  ในอีกแง่หนึ่ง การแจกเงินครั้งนี้เป็นการ “ลงทุน” ให้คนส่วนใหญ่ของประเทศคุ้นเคยกับ Digital Money บน Blockchain platform ของ ธปท เมื่อการใช้ดังกล่าวแพร่หลาย จะทำให้การใช้งบประมาณแทบทุกรายการในอนาคตผ่านระบบ Blockchain ผลระยะยาวที่ตามมาก็คือ การตรวจสอบทางเดินของเงินจะสะดวก ต้นทุนต่ำ การทุจริตคอรัปชั่นเป็นไปได้ยาก รวมทั้งการฟอกเงินหรือการหลบภาษีก็ยากด้วย การตามเงินตามจับพวก Call centers ที่หลอกเงินคนไทยและจีนเทาก็ง่าย  ท้ายสุดคือ ในระยะยาว การใช้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์จะลดลงมาก ประหยัดต้นทุนการพิมพ์และทำลายธนบัตรได้มาก