“ภูมิธรรม” สั่งดูแลราคาสินค้าหลังน้ำตาลทรายขึ้น 4 บาท

“ภูมิธรรม” สั่งเกาะติดราคาสินค้า หลังสอน. ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน อีกกิโลกรัม (กก.) ละ 4 บาท  

  •  กรมการค้าภายในร่อนหนังสือถึงห้างค้าปลีก-ส่ง ผู้ค้าน้ำตาล
  • ขายน้ำตาลทรายสต๊อกเก่าราคาเดิมก่อนอย่าเพิ่งปรับขึ้น
  • ย้ำอย่าฉวยโอกาสขายแพงเกินจริงเจอโทษหนักทั้งจำ-ปรับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน อีกกิโลกรัม (กก.) ละ 4 บาท ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายขาว ปรับราคามาอยู่ที่กก.ละ 23 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ กก.ละ 24 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.66 เป็ฯต้นไป และส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นเป็นกก.ละ 28 บาทและกก.ละ 29 บาทนั้น 

ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 28 ต.ค.66 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์  กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ข้าวและเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่จ.อุดรธานีว่า การปรับขึ้นราคาน้ำตาลหน้าโรงงาน อยู่ในความดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นเพียงปลายน้ำ แต่ในเมื่อขึ้นราคามาแล้ว ก็ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน จากนี้จะต้องพยายามแก้ปัญหาที่จะตามมา โดยน้ำตาลทรายที่ขึ้นราคา มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชน กระทรวงพาณิชย์จะดูแลได้ในกรณีสินค้าควบคุม เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชน

ด้านร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมการค้าภายในได้ขอความร่วมมือไปยังห้างค้าส่งค้าปลีก ผู้จำหน่ายน้ำตาลทรายทุกราย ให้จำหน่ายน้ำตาลทรายที่มีอยู่ในสต๊อกในราคาเดิมจนกว่าสต๊อกเก่าจะหมด และจัดให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการ และเติมสินค้าบนชั้นวางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าสินค้ามีเพียงพอ ของไม่ขาด ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้านั้น กรมจะติดตามอย่างใกล้ชิด โดยสินค้าที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นส่วนผสม แต่ละชนิดมีผลกระทบแตกต่างกัน เพราะใช้น้ำตาลทรายในสัดส่วนที่แตกต่างกัน

“กรณีเป็นสินค้าควบคุม เช่น นมสด ปลากระป๋อง ถ้าผู้ผลิตจะขอปรับราคา กรมก็ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป โดยจะดูตามสัดส่วนการใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งผลกระทบจากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น ประกอบกับ ต้นทุนส่วนอื่นๆ ด้วย เพราะบางสินค้าแม้ต้นทุนน้ำตาลทรายจะเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนอื่นๆ อาจลดลงก็ได้ ส่วนกรณีสินค้าอื่นๆ เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน การกำหนดราคาหรือปรับราคาก็ต้องสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งกรมจะติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้า การรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนผู้บริโภคทางสายด่วน 1569 และการตรวจสอบให้ความเป็นธรรม”

อย่างไรก็ตาม กเชื่อว่า ปัจจุบันที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าส่วนใหญ่คงไม่อยากที่จะปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะจะกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค กรณีจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าก็ควรพิจารณาให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุด สุดท้ายขอเน้นย้ำไปยังผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าทุกราย ห้ามฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าในราคาแพงเกินสมควร หากพบจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ