“ปานปรีย์”​ กล่อมนักลงทุนญี่ปุ่น ใช้ชีวิตและทำงานในประเทศไทย

“ปานปรีย์”​ ลั่น ไทยพร้อมมีบทบาทเชิงรุกด้วยความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่นที่แน่นแฟ้น รับมือกับความท้าทายในอนาคต

  • พร้อมแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค
  • เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่น
  • ให้เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงดังกรอบแนวคิดของญี่ปุ่น

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ไทยพร้อมมีบทบาทเชิงรุกด้วยความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่นที่แน่นแฟ้น เพื่อเดินหน้าในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยจะใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศหรือข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคี ในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับมิตรประเทศในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม

“เราจะมุ่งมั่นที่จะพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุน เช่น การกำหนดเขตเศรษฐกิจสำหรับอุตสาหกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษใหม่ใน 4 ภาคของประเทศไทย รวมทั้งการออก Long-term Resident Visa หรือ LTR Visa เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตและทำงานในประเทศไทย ตลอดจนการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่น ให้เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงดังกรอบแนวคิดของญี่ปุ่นเรื่องความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันที่เรียกว่า การร่วมสร้างสรรค์ หรือ Co-Creation” เพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต และเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศ”

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า บีโอไอ ได้นำเสนอนโยบายใหม่ให้กับนักลงทุนญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการส่งเสริมการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพอันจะนำมาสู่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยและให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจในระดับภูมิภาค ได้แก่ Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาคและศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ รวมถึงแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านการใช้ยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) สู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

“เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์ในกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปภายใน Hybrid และ Plug-in Hybrid เปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตยานยนต์สมัยใหม่ โดยกำหนดเงื่อนไขสำคัญในการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการดังกล่าว คือ ต้องมีการลงทุนในระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์เพื่อนำมาใช้สนับสนุนการผลิตรถยนต์ และต้องเสนอแผนการพัฒนารถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน เพิ่มความปลอดภัย พัฒนาการขับเคลื่อนอัจฉริยะ หรือเทคโนโลยีอื่นๆที่เหมาะสม” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุดติดต่อกันมายาวนาน ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีโครงการจากญี่ปุ่นได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ มากกว่า 4,000 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท หรือ 6 ล้านล้านเยน และในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม – กันยายน) ปี 2566 มีโครงการลงทุนจากญี่ปุ่นยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน 176 โครงการ มูลค่ากว่า 43,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 18