ประธานเครือสหพัฒน์ ครวญเศรษฐกิจขณะนี้เลวร้ายสุด ค่าเงินบาทแข็งตัวเร็วเกิน ส่งออกไม่ติดลบก็นับว่าเก่ง

  • สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเร็วร้ายสุด
  • เฉพาะปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวเร็วเกินไป
  • กลุ่มเกษตรกรระดับล่างโดนผลกระทบสินค้าเกษตรขายน้อยลง
  • การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตยุคใหม่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น รายได้ลดลง
  • มองด้านบวกว่าประเทศไทยยังเนื้อหอมน่าลงทุนอยู่
  • ยังมั่นใจยอดขายรวมปีนี่โตที่ 2.5-3% จากยอดขายปีที่แล้ว 3 แสนล้านบาท

นายบุญยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่าสถานการณ์การค่าเงินบาทที่แข็งตัวในปัจจุบันถือว่าอยู่ในวิกฤต ขณะที่รัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจนแม้ว่าจะทราบตัวนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังมีคำถามจากนักลงทุนมามากว่าเมื่อไรจะมีรัฐบาลมาทำงานสักทีแถมยังมีคำถามเพิ่มเติมว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งดูแลนโยบายเศรษฐกิจยังอยู่ด้วยหรือไม่ ซึ่งในช่วงเวลานี้นับว่าเลวร้ายที่สุด อยากจะให้รัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยเร็ว

ทั้งนี้สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือการเข้าไปดูแลค่าเงินบาท ในประเทศไทยถือว่าค่าเงินบาทแข็งเร็วเกินไป อยากจะให้ดูแลค่าเงินไม่ให้เคลื่อนไหวเร็วมากทั้งการแข็งตัวและอ่อนตัวเพราะจะทำงานลำบาก โดยส่วนตัวอยากเห็นค่าเงินบาทที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าเหมาะสมดี
การที่ค่าเงินบาทแข็งตัวจะมีกลุ่มได้ประโยชน์และเสียประโยขน์ แต่กลุ่มเสียประโยชน์เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่เกษตรกร รวมทั้งอุตสาหกรรมการเกษตรที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ 100% ขณะที่กลุ่มนำเข้าจะได้ประโยชน์ต้นทุนการนำเข้าถูกลง รวมทั้งประชาชนระดับล่างที่มีกำลังซื้อลดลงจากผลพวงของเศรษฐกิจด้วย

อีกประเด็นสำคัญก็คือการที่ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป การใช้ชีวิตของผู้คน การจับจ่ายและการกินอาหาร ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้จ่ายเพิ่มขึ้น ค่าครองชีพแพงขึ้นแต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศชะงักได้เช่นกัน

เมื่อไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป มีผลให้ธุรกิจของเครือสหพัฒน์เปลี่ยนแปลงไปตามเพราะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับผู้คนทั้งประเทศ จากเดิมธุรกิจด้านสิ่งทอและแฟชั่นเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้หลักและผลกำไรให้บริษัทมากมายในอดีต เปลี่ยนแปลงมาเป็นธุรกิจทางด้านอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตมาทดแทน อย่างไรก็ตามธุรกิจในส่วนที่ซบเซาลงก็ต้องปรับตัวลงตามเช่น โรงงานผลิตถุงเท้าต้องย้ายฐานผลิตไปยังอ.แม่สอด จ.ตาก แทน ไม่ถึงกับต้องปิดโรงงานไป

รวมทั้งขยายธูรกิจบริการ, การศึกษาและธุรกิจพลังงาน โดยธุรกิจบริการเช่นการขนส่งโลจิสติกลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ตั้งศูนย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งไม่ได้เน้นเข้าไปแข่งขันในธุรกิจนี้แต่มุ่งให้บริการกับธุรกิจในเครือเพื่อความรวดเร็วในการกระจายสินค้าให้ตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าได้เร็วยิ่งขึ้น
การรุกธุรกิจอีคอมเมิร์ชทำงานเป็นพันธมิตรกับ “ลาซาด้า” ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจนี้มาก เช่นเดิมเครือสหพัฒน์จะทำธุรกิจขายสินค้าเป็นล็อตใหญ่ๆ แต่กับลาซาด้า รูปแบบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ต้องสร้างความต้องการให้ผู้บริโภคก่อนและค่อยขายและจัดส่งสินค้าให้

นายบุญยสิทธิ์กล่าวด้วยว่า แม้ว่าในสถานการณ์เลวร้ายในขณะนี้แม้ว่ายังตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่เห็นข่าวว่าจะสามารถตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในเดือนหน้า ก็ถือว่ายังไม่ช้าไปพอมีเวลาเข้ามาทำงานและเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนทันที แต่รัฐนตรีที่เข้ามาทำงานควรจะมีความรู้ ความสามารถความเข้าใจในการทำงาน ไม่ใช่เข้ามาแย่งเก้าอี้กัน

“เครือสหพัฒน์มีพันธมิตรนักลงทุนต่างชาติมาก ซึ่งมีความสนในที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ประเทศเรายังมีความน่าลงทุนมากทั้งนักลงทุนจากญี่ปุ่นและจีน โครงการในอีอีซี เป็นจุดดึงดูดให้นักลงทุนมาก อุสาหกรรมหลายๆ อุคสาหกรรมยังมองมาที่ประเทศไทยเช่นการลงทุนโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นต้น”

สำหรับเป้าหมายยอดขายของเครือสหพัฒน์หลังจากที่ได้ปรับเป้าหมายการเติบโตลงเหลือ 2.5-3% ขณะนี้ประเมินสถานการณ์แล้วน่าจะทำได้ จากปีที่ผ่านท่มียอดขายรวมประมาณ 300,000 ล้านบาท