บริษัทไทยครองตำแหน่งธุรกิจที่มีความยั่งยืนจากการเปิดเผย “The Sustainability Yearbook 2023” ของ S&P Global

  • โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี
  • ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่บริษัทของไทยติดรายชื่อธุรกิจที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก จากการเปิดเผย “The Sustainability Yearbook 2023” ของ S&P Global สะท้อนความสำเร็จของภาคธุรกิจไทยที่มุ่งสร้างการเจริญเติบโต ควบคู่ไปกับการนำแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงาน

ทั้งนี้ S&P Global ซึ่งผู้จัดทำดัชนีที่ผู้ลงทุนทั่วโลกใช้ในการวิเคราะห์และพิจารณาตัดสินใจลงทุน ได้เปิดเผย The Sustainability Yearbook 2023 ซึ่งเป็นผลการประเมินความยั่งยืนระดับสากลของบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 7,800 บริษัท ใน 61 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทชั้นนำของไทยได้รับการจัดอันดับในระดับ Gold Class Top 1% S&P Global ESG Score ซึ่งเป็นระดับสูงสุด มีจำนวน 12 บริษัท ได้แก่ PTT Global Chemical, Thai Union Group, True Corporation, Home Product Center, The Siam Cement, Thai Beverage, VGI, Thai Oil, Berli Jucker, BTS Group Holdings, Asset World Corp และ SCG Packaging

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทของไทยที่ได้รับการจัดอันดับในระดับ Top 1% S&P Global ESG Score จำนวน 12 บริษัท นั้น นับได้ว่าไทยมีจำนวนบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับใน Top 1% มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก รองลงมาคือ สหรัฐฯ โดยมีบริษัทจำนวน 11 แห่ง ที่อยู่ในระดับ Top 1% S&P Global ESG Score ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สนับสนุนธุรกิจให้นำแนวทางความยั่งยืนในการดำเนินงาน โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ และประเทศ 

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในแนวคิดเพื่อการพัฒนาอย่างสมดุล และยั่งยืน รัฐบาลสนับสนุนให้ธุรกิจมุ่งไปสู่ความยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในภาคการผลิต ควบคู่การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ภาคเอกชนทั่วโลกให้ความสำคัญในปัจจุบัน รวมทั้ง รัฐบาลมุ่งส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกชนทุกคนที่รับนำแนวคิดที่เป็นประโยชน์ เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุม เพื่อนำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่เติบโตพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน”