“ตอกหน้า”ประชาธิปัตย์ ผิดสัจวาจา

  • ปอกเปลือกอดีตผู้นำจิตวิญญาณ
  • รูดม่านปิดฉากการเมืองเมื่ออายุ 80
  • เพราะเห็นแก่ลาบยศ-ตำแหน่ง

ประชาธิปัตย์ทรยศต่อประชาชน
โดยดร.วีรพงษ์รามางกูร

    พรรคประชาธิปัตย์โดยการลงคะแนนเสียงของกรรมการกลาง และสมาชิกสภาผ้แูทนราษฎรของพรรคลงมติเข้าร่วมขบวนการสืบทอดอานาจเผด็จการ ซึ่ง มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ เป็นเหตุให้ นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค หลายสมัยต้องออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผ้แูทนราษฎร เนื่องจากพรรคมีมติทบทวนคำม่ันสัญญาที่ ให้ไว้กับ ประชาชนว่า จะไม่สนับสนุนการสืบทอดอานาจเผด็จการของผู้นำปัจจุบัน เหมือนกับที่ผู้นำเผด็จการในอดีต เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร พ.อ.ณรงค์ กิตติ ขจร และพล.อ.สุจินดา คราประยรู เคยทำมาแล้ว 

   นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกวาทะของมหาตมะคานธี ผู้นำในการเรียกร้องเอกราชของอิน เดีย จากจักรวรรดินิยมอังกฤษ จนทำให้เกิดขบวนการเรียกร้องเอกราชจากอาณานิคมของอัง กฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ในกรณีของฟิลปิปินส์มาแล้ว 
    มหาตมะคานธี จึงได้รับการยกย่องจากประชาชนผู้ถูกกดขี่จากทั่วโลกว่า เป็นผ้สูร้างระ บอบประชาธิปไตย ให้กับประเทศที่มีพลเมืองมากที่สดุในโลก และมีพลเมืองที่ยากจนที่สดุในโลกในขณะนั้น มีพลเมืองที่มีการแบ่งชั้นวรรณะโดยชาติกาเนดิ และโดยฐานะทางเศรษฐกิจ มีผู้ปกครองทั้งที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้น และคนที่ยอมเป็นสุนัขรับใช้เจ้าอาณานิคม รวมทั้งคนผิวขาวเชื้อชาติอังกฤษที่เข้ามาปกครองอินเดียเพื่อรักษาสถานะของตนเอง 
    คานธี เคยประกาศบาป 7 ประการ และ 1 ในบาป 7 ประการคือ การเมืองที่ไม่มีหลักการ หรือ Politics without principle แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในค่ายทหาร เคยคว่ำบาตรการเลือกตั้ง เคยร่วมกันกับอดีตผู้นำพรรคที่ไปร่วมมือกับทหารจัดตั้งกปปส.เพราะทราบดีว่า ประชาธิปัตย์ลงแข่งขันในการเลือกตั้ง ก็คงจะแพ้พรรคไทยรักไทย ซ่ึง บัดนี้กลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย 
    ปรกติพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลด้วยตนเองทุกครั้งที่ได้เป็นแกนนำ หรือเข้าร่วมรัฐบาล เพราะอาศัยการแอบอิงกับทหาร หรือไม่ก็ เพราะทหารเพลี่ยงพล้ำ ถูกประชาชนเดินขบวนขับไล่ เช่น กรณี จอมพลผิน ชุณหะวัณ ทำปฏิวัติใินปลายปี 2489 จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ทำปฏิวัติในปี 2500 โดยอ้างการเลือกตั้งสมัย จอมพล ป.พิบูลย์สงครามการเลือกตั้งโดยพรรคสหประชาไทย ของ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้จัดตั้งรัฐบาลจนเกิดกรณี 14 ตุลาคม 2516 เรื่อยมาจนถึงการเลือกตั้งครั้งสดุท้าย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ก็แพ้การเลือกตั้ง และสูญพันธ์ในเขตกรุงเทพมหานคร 
    หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่แล้ว ยังกล่าวต่อไปว่า ประชาชน เกือบ4ล้านคน ที่ลงคะ แนนเสียงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเชื่อมั่นว่า พรรคจะยึดมั่นในคำมั่นสัญญาของหัวหน้าพรรคที่ให้ไว้กับประชาชน ซึ่งก็เหมือนกับคำสาบานต่อหน้าพระแม่ธรณีบีบมวยผม เมื่อพรรคไม่รักษาคำมั่นสัญญา โดยอ้างว่าเป็นคำมั่นสัญญาของหัวหน้าพรรค ไม่มีความผูกพันกับพรรค จึงชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยึดมั่นกับคำขวัญของพรรคที่ว่า “สัจจังเวอมตาวาจา” สัจวาจาเป็นสิ่งที่ไม่ตาย 
    เท่ากับว่าอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาประณามพรรคประชาธิปัตย์ของตนเอง รวมทั้ง กรณีประธานที่ปรึกษาพรรคที่ไปรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปทำหน้าที่รับใช้ผู้แต่งตั้งที่สั่งให้สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลออกด้วย 
    เสียงลงคะแนนให้ได้ตำแหน่งผู้ที่เคยให้สัจวาจาว่า “ผมยึดมั่นในระบอบรัฐสภา”กำลังไปรับใช้รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ ไม่ต่างอะไรกับ จอมพลถนอม กิตติขจร และพล.อ.สจุินดา คราประยูร ซึ่งเป็นระบอบเผด็จการครึ่งใบ เป็นสิ่งปรกติของพรรคประชาธิปัตย์ที่กระทำเช่นนี้มาตลอด ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร 
    สิ่งที่แปลกประหลาด ก็คือ ทำไมหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่แล้ว เกิดมารังเกียจหัว หน้า คสช.ที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำปฏิวัติรัฐประหาร สถาปนาตัวเองโดยใช้ปากกระ บอกปืนตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี จับผู้ที่เห็นต่างเอาไป “ปรับทศันคติ” แบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย เมื่อทำการปฏิวัติประชาชน ได้อำนาจรัฐมา ก็จะจับนักการเมือง นักประชาธิปไตย นักวิชาการ นักคิดนักเขียนไปปรับความคิดเสียใหม่ในค่ายที่เรียกว่า“ re-duca tion camp” เมื่อทำการยึดอำนาจจากพวกเราประชาชนก็ทำอย่างเดียวกัน สำหรับปัญญาชน    ที่มีชื่อเสียงเพื่อปิดปาก แม้แต่อดีตประธานวุฒิสภาที่ออกมาคัดค้านการทำรัฐประหารครัง้นี้ถูกเรียกไปปรับทัศนคติ 
    การคัดค้านระบอบเผด็จการทหาร หรือ เผด็จการโดยสภาซึ่งไม่มีเพราะมีวาระให้ต้องเลือกตั้งกัน ใหม่ตามกำหนด ไม่ว่าจะเป็นสภาผู้แทนราษฎร หรือวฒุิสภา แต่สาหรับเผด็จการนั้นจะพยายามใช้เล่ห์กลทางภาษาซึ่งมีนักกฎหมายที่ไร้อดุมการณ์ ไร้ยางอาย ทำงานรับใช้เพื่ออยู่ในอำนาจให้นานที่สุด แม้จะต้องตระบัดสัตย์ว่า จะอยู่อีกไม่นาน แต่งเป็นเพลงออกอากาศอยู่ทุก วันก็ตาม 
    การที่พรรคประชาธิปัตย์ละทิ้งคำสัญญา ทวนคำสาบานที่ให้ไว้กับประชาชนเกือบ 4 ล้านคนไปเห็นแก่ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นประธานรัฐสภาด้วยอย่างไร้ยางอายทั้งที่เคยให้สัจวาจาว่า ตนสนับสนุนระบอบรัฐสภา 
    หลายคนผิดหวังกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งไม่ควรจะผิดหวัง เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นเช่นนี้มานานแล้วคือ“ปากวา่ตาขยิบ” ทะเลาะแย่งชิงกันเองหักหลังกันเองภายในพรรค หักหลังแย่งชิงกับพรรคทหารที่เป็นแกนหลักที่ตนกลืนน้ำลายเข้าไปร่วมด้วย 
    ส่วนพรรคภมูิใจไทย ไม่ควรจะต้องผิดหวัง เพราะไม่ควรจะหวังอะไรจากพรรคการเมืองพรรคนี้ แต่ต้องขอคารวะ เพราะออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ตอนที่หาเสียงได้ให้สัญ ญากับผู้สนับสนุนพรรคตนว่า จะไม่ร่วมการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ตอนนั้นเป็นเรื่องหาเสียงแต่จะเข้าร่วมรัฐบาล เพราะเป็นของจริง  ถึงอย่างไรผู้นำคนเดิม ก็ชนะเสียงในรัฐสภาอยู่แล้วเพราะมีสมาชิกวุฒิสภาของตนที่เลือกเข้ามาเอง แต่งตั้งเองมาช่วยยกมือลงคะแนนถ่วงเสียงของสภาผ้แูทนราษฎร และจะเป็นแม่เหล็กดึงพรรคเล็กพรรคน้อยที่ได้คะแนนเสียงไม่ถึง 71,000 เสียงจำนวน 11 พรรคให้ได้เป็นสมาชิกสภาผ้แูทนราษฎร 
    มีข่าวว่า กรรมการกกต.คงจะถูกฟ้องทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เหมือนกับกรรมการกกต.ชุดก่อนหน้านั้นเป็นแน่ ซึ่งจะคอยดูว่า องค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรม นูญ และศาลปกครอง จะปฏิบัติตนอย่างไร จะซื่อสัตย์ต่อตนเอง หรือซื่อสัตย์ต่อผู้ที่แต่งตั้งตน
    พวกเราประชาชนผู้ถูกปกครอง คงได้แต่คอยดูด้วยความสลดใจ แต่ทุกครัง้ที่เห็นประธานสภาผ้แูทนราษฎรขึ้นบัลลังก์ทำหน้าที่ จิตก็ตวัดไปถึงสัจวาจาที่ท่านเคยกล่าวเป็นสัตย์ว่า“ผมเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” แต่ไม่ได้บอกว่า ระบอบรัฐสภาแบบไหน แบบเผด็จการครึ่งใบ หรือเผด็จ การเต็มใบซึ่งจะได้รับความร่วมมือจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ช่วยปูทางให้สามารถทำปฏิวัติรัฐ ประหารได้ทุกครั้ง 
    ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการ โดยการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ เหมือนกับจอมพลถนอม ตั้งพรรคสหประชาไทย และพล.อ.สจุินดาตั้งพรรคสา มัคคีธรรมโดยให้พ่อเลี้ยงณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรค สมัยนั้น ผู้คนชื่นชมการอภิปรายของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่รับเป็นประธานสภาผ้แูทนราษฎรของ พรรคสืบทอดอำนาจเผด็จการปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้สำหรับพรรคประ ชาธิปัตย์ ขอให้ตนซ่ึงไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เข้าร่วมรัฐบาล ได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพของรัฐเผด็จการด้วย 
    ผู้คนที่เคยชื่นชม“ใบมดีโกนอาบน้ำผึ้ง”คนที่เคยอภิปรายต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐมนตรีในปี 2535 นั้น คนผู้นี้ ได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสงบเสงี่ยมเสียแล้ว ก็ไม่ควรจะไปเสียดาย และไม่ควรจะไปคาดหวังอะไรจากคนๆนี้อีกต่อไป เมื่อมาเสียคนคราวนี้คงได้จบชีวิตทางการเมืองเสียที 
    การสืบทอดอำนาจในครั้งนี้ไม่น่่าจะไปรอด เพราะคะแนนเสียงในสภาผ้แูทนราษฎรระ หว่างฝ่ายสนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตยต่อต้านการสืบทอดอำ    นาจเผด็จการมีเสียงต่างกันไม่มาก แม้จะใช้เล่ห์กลเอารัดเอาเปรียบอย่างที่ชายชาติทหารเขาไม่ทำกัน
    การกล่าวเท็จอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การอ้างว่าเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ก็เป็นวาทะที่เป็นเท็จ เพราะการสนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการ และการทรยศต่อสัจวาจาของตนว่า “ตนเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” ก็ได้เห็นกันแล้วเมื่อตอนอายุ 80 ว่า ไม่เป็นความจริง และมาเสียคนเอาตอนแก่ 
    ถ้าพรรคจะทรยศต่อผู้ดลือกตน ก็ควรให้ผู้คนรุ่นใหม่ในพรรคขึ้นดำรงตำาแหน่งนี้ เพราะตนเคยเป็นมาแล้วทุกตำแหน่ง การสืบทอดอำนาจเผด็จการ เป็นการดึงให้ประเทศชาติถอยหลังย้อนยุคกลับไป 60 ปี เป็นที่รังเกียจในประชาคมระหว่างประเทศ ใครๆก็รู้ว่าการเลือกตั้งภายใต้อำนาจเผดจ็การนั้นเป็นอย่างไร 
    พฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกของพรรคประชาธิปัตย์คราวนี้ ล่อนจ้อนจริงๆ ที่หัวหน้าคสช. เคยสบประมาทว่า ให้คอยดูพรรคประชาธิปัตย์ตอนจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งไว้จะ…
    ปากว่า ตาขยิบ หรือไม่