ตลาดบ้านพักตากอากาศเนื้อหอมสุดๆ เตะจมูกเศรษฐี-นักลงทุน อยากจับจองเป็นเจ้าของ

  • พบทำเลริมชายหาด ติดทะเล เป็นที่หมายปองอันดับต้นๆ
  • หลังโครงการใหม่ๆเปิดตัวน้อยลง ทำให้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่มีสินค้าอยู่ในมือ
  • เผยโครงการไหนบริหารอย่างมืออาชีพ มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำดูแล จะเป็นที่สนใจ

น.ส.ประกายเพชร มีชูสาร ผู้อำนวยการแผนกซื้อขายบ้านพักตากอากาศ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เปิดเผยว่า บริษัทได้สำรวจตลาดบ้านพักตากอากาศ ซึ่งพบว่าตลาดบ้านพักตากอากาศเริ่มกลับมาได้รับความนิยมจากนักลงทุนอีกครั้ง โดยโครงการบ้านพักตากอากาศชั้นนำหลายแห่งมียอดขายเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการโครงการระดับคุณภาพที่สะสมมานานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบ้าน และคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางกรุงเทพฯเป็นหลัก ซึ่งแผนกวิจัยซีบีอาร์อีพบว่า มีคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ราว 30,000 ยูนิต ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2559-2561

“ความท้าทายสำหรับตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมคือต้นทุนที่ดิน และราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งบริษัทพบว่าในตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ ผู้ซื้อในช่วงหลังเป็นคนไทยกว่า 70% ที่เน้นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือเพื่อการลงทุนในระยะยาวมากกว่าการซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น ขณะที่ตลาดที่พักอาศัยที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท จะมีสัดส่วนผู้ซื้อเป็นชาวต่างชาติสูงถึงกว่า 40%”

ทั้งนี้จากการที่ผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ทำให้การพัฒนาโครงการที่พักอาศัย เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัดโดยเฉพาะตลาดไฮเอนด์มีสัดส่วนที่ลดลง ทั้งในพัทยา หัวหิน เชียงใหม่ เขาใหญ่ และภูเก็ต จึงทำให้เกิดการสะสมของอุปทานซึ่งตลาดมีความต้องการที่พักอาศัยเพื่อการพักผ่อนแต่ไม่มีโครงการใหม่เปิดตัวมากเท่าที่ควร  

น.ส.ประกายเพชร กล่าวว่า ล่าสุดซีบีอาร์อีพบว่าในปี 2562 มีผู้ซื้อที่กำลังมองหาบ้านพักตากอากาศในแหล่งพักผ่อนตากอากาศชั้นนำ พร้อมที่จะตัดสินใจซื้อเพื่อใช้พักอาศัยเองหรือลงทุนในระยะยาว ซึ่งแม้ว่าจะมีราคาขายที่สูงขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่หากพบว่าเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลชั้นดีที่หาได้ยาก อาทิเช่น มีทำเลติดชายหาดหรือเห็นวิวทะเล หรือเป็นโครงการที่มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำมาบริหารจัดการอาคาร หรือมีการรับประกันผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า จะพบว่าต่างได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อ เช่น โครงการ เดอะ เรสซิเดนเซส แอท คลับเมด กระบี่ ราคาต่อตารางเมตร (ตร.ม.) เฉลี่ย 185,000 บาทต่อตร.ม. และ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท เชอราตัน ภูเก็ต แกรนด์ เบย์ ราคาขายเฉลี่ย 230,000 บาทต่อ ตร.ม. สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 300 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 3 วันที่เปิดขายในกรุงเทพฯ และมียอดขายแล้วกว่า 85% และ 65% ตามลำดับ

นอกจากนี้ยังมีโครงการ เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นวิลล่าระดับหรูริมชายหาดนาใต้ จังหวัดพังงา มีราคา 67-98 ล้านบาท ก็สามารถปิดการขายได้แล้วกว่า 50% ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน 

“ยอดขายที่ดีจากโครงการชั้นนำเหล่านี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าลูกค้าชาวไทยยังมีความต้องการซื้อบ้านพักตากอากาศในทำเลชั้นดี ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มที่โครงการจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต ด้วยทำเลที่หายาก และการบริหารอย่างมืออาชีพโดยเฉพาะจากแบรนด์โรงแรมชั้นนำ”