ดาวโจนส์ปิดตลาดลบ 39 จุด ผิดหวังตัวเลขว่างงาน ยังเพิ่มมากว่าคาด แม้คลายล็อกดาวน์

  • ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่ม 1.5 ล้านรายมาากกว่านักวิเคราะห์คาด
  • ตลาดกังวลโควิด-19 รอบสอง อาจดันตัวเลขชาวอเมริกันเสียชีวิตพุ่ง
  • หุ้นพลังงาน-สินค้าผู้บริโภคพุ่งหนุนดัชนีแนสแด็กและเอสแอนด์พี500 ปิดในแดนบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที 18มิ.ย.ที่ 26,080.10 จุด ลดลง 39.51 จุด หรือ -0.15% ดัชนีเอสแอนด์พรท500 ปิดที่ 3,115.34 จุด เพิ่มขึ้น 1.85 จุด หรือ +0.06% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 9,943.05 จุด เพิ่มขึ้น 32.52 จุด หรือ +0.33%

นักลงทุนผิดหวังตัวเลขคนว่างงานที่ยังสูงขึ้นมากกว่าคาด ทั้งที่รัฐต่างๆได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และได้เปิดเศรษฐกิจครั้งใหม่มาระยะหนึ่งแล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.5 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.3 ล้านราย โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 13

อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในวันนี้แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่ำกว่าที่มีการรายงานในสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับ 1.566 ล้านราย ลดลงต่อเนื่องจากการแตะจุดสูงาุด 6.9 ล้านรายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 มี.ค. เช่นเดียวกับจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนการว่่างงานได้ดีกว่า ลดลงสู่ระดับ 20.5 ล้านราย โดยลดลง 62,000 รายจากที่มีการรายงานในสัปดาห์ที่แล้ว

ตลาดยังวิตกกังวลว่า สหรัฐอาจเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอก 2 หนักกว่าที่คาดไว้ หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า 9 รัฐในสหรัฐซึ่งได้แก่ แอละแบมา แอริโซนา ฟลอริดา เนวาดา นอร์ทแคโรไลนา โอกลาโฮมา โอเรกอน เซาท์แคโรไลนา และเท็กซัส มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

แบบจำลองของสถาบันชี้วัดและประเมินสุขภาพ (IHME) ในสังกัดมหาวิทยาลัยวอชิงตันของสหรัฐ บ่งชี้ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตกว่า 200,000 รายภายในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในหลายรัฐพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ นอกจากนี้ คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันจะเพิ่มขึ้นอีกในเดือนก.ย.

หุ้นกลุ่มที่เคยเป็นความหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังคลายมาตรการล็อกดาวน์ถฏขายออกมมา โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มค้าปลีก โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ดิ่งลง 2.89% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ร่วงลง 1.32% หุ้นนอร์ดสตรอม ร่วงลง 1.11% หุ้นโฮม ดีโปท์ ลดลง 0.67% หุ้นโคห์ลส์ คอร์ป ลดลง 0.9%

หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ร่วงลง 1.41% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 แต่ทางบริษัทคาดว่า ยอดจองการเดินทางด้วยเรือสำราญจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม การเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลอตใหม่ของรัฐบาล และตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ยังคงมีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าผู้บริโภค และเป็นผลให้ดัชนีแนสแด็กและเอสแอนด์พี500ขึ้นมาปิดในแดนบวก โดยหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 3.3% หุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 0.64% หุ้นเชฟรอน บวก 0.44% หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (พีแอนด์จี) พุ่งขึ้น 1.14 % หุ้นเป๊ปซี่โค บวก 0.77% หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ เพิ่มขึ้น 0.84% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 0.9%

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 27.5 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ -43.1 ในเดือนพ.ค. และทรุดตัวลงแตะ -56.6 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2523 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ดัชนีอยู่เหนือระดับ 0 บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกมีการขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นต่อภาวะธุรกิจ และการใช้จ่ายทุนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า

ด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ ที่ระดับ 0.10%และขยายวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีก 1 แสนล้านปอนด์ สู่ระดับ 7.45 แสนล้านปอนด์ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19