ดาวโจนส์ปิดตลาดติดลบ 308 จุด กังวลดอกเบี้ยขึ้นเศรษฐกิจชะลอ

  • ตลาดหุ้นสหรัฐยังลงต่อ กังวลดอกเบี้ยขึ้นแรงฉุดเศรษฐกิจถดถอย
  • นักลงทุนเทขายหุ้นลดความเสี่ยง  ส่งผลบรรยากาศซื้อขายอยู่ในขาลง
  • ตลาดจับตาดัชนีเครื่องชี้เศรษฐกิจ-ทิศทางนโยบายเฟดในระยะต่อไป

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์วันที่ 30 ส.ค.ปิดตลาดที่ 31,790.87 จุด ร่วงลง 308.12 จุด หรือ -0.96%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,986.16 จุด ลดลง 44.45 จุด หรือ -1.10% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดตลาดที่ 11,883.14 จุด ลดลง 134.53 จุด หรือ -1.12%

ราคาหุ้นปรับตัวลงทุกกลุ่ม ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงแรง ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลง กดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน

ทั้งนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 11.24 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.3 ล้านตำแหน่ง ส่วนอัตราการเปิดรับสมัครงานดีดตัวสู่ระดับ 6.9%

ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS เป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยของเฟด

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งจัดอยู่ในหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) ซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่อง  โดยหุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ร่วงลง 1.26% หุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 1.53% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 0.85% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 0.44%

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงกว่า 5% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ทั้งนี้ หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 2.57% หุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 4.33% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.43% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดิ่งลง 3.81%

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างผันผวนเมื่อคืนนี้ โดยดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้นสู่ระดับ 27.69 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 76.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 23.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%