จับสัญญาณศก.โลก 

DCIM/100MEDIA/DJI_3398.JPG

เศรษฐกิจโลกปี 66 ส่งสัญญาณไม่ค่อยสู้ดีนัก ธนาคารโลก  และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ  ออกมาบอกว่า ปีนี้มีโอกาสสูงมากที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอย

บทความเรื่อง “จับชีพจรเศรษฐกิจโลก ส่องเศรษฐกิจไทย ปี 2566” ในเว็บ SETINVESTNOW กล่าวถึงแนวโน้มนี้ว่า เศรษฐกิจถดถอยไม่ได้แปลว่า จะหดตัวลง  แต่เป็นการโตในอัตราที่น้อยและช้าลงจากปีที่แล้ว  คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะโต 1.7%  โดยประเทศที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ จะโตช้าลง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ,ยุโรป, ญี่ปุ่น ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นตลาดหลัก ๆ ของไทย ทำให้กำลังซื้อน้อยลง  การส่งออกของไทยไปตลาดหลัก ๆ เหล่านี้ จะไม่ขยายตัวได้มากเท่ากับปีก่อน

เศรษฐกิจโลกปีนี้จะเผชิญกับ 3 ความเสี่ยง คือ 1. ราคาสินค้า ยังอยู่ในระดับสูง เพราะถึงแม้เงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และเริ่มชะลอลงในปีนี้ แต่สินค้าก็จะยังแพงขึ้น IMF มองว่าปีนี้ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นไปอีก 6.5%   ดังนั้น ราคาพลังงาน ราคาอาหาร จะยังอยู่ในระดับที่สูงและเป็นต้นทุนของสินค้าอื่น ซึ่งบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน 2. อัตราดอกเบี้ยปีนี้ยังเป็นขาขึ้น แม้จะไม่ขึ้นเร็วเหมือนปีก่อนแต่ก็ยังขึ้นต่อไป คาดว่า ปีนี้ดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะขึ้นอีกสัก 1% เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อยู่ที่ 2 % ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลให้หลายประเทศ รวมถึงไทยมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน

3.ค่าเงิน โดยการขึ้นดอกเบี้ยช้าลงของสหรัฐฯ ทำให้เงินไหลออกไปลงทุนในภูมิภาคอื่นแทน ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง เงินบาทแข็งค่าขึ้น จึงเป็นความเสี่ยงหนึ่งสำหรับผู้ส่งออกไทย ขณะที่การนำเข้าได้รับอานิสงส์ แม้นักลงทุนจะฝากความหวังไว้ที่จีน แต่ TDRI มองว่าเศรษฐกิจจีนไม่น่าโตได้ถึง 5% ขณะที่ธนาคารโลก คาดว่า จีนน่าจะขยายตัวได้ 4.3% เพราะจีนเพิ่งเริ่มเปิดประเทศ กว่าจะฟื้นตัวได้จริง ๆ ตอนไตรมาสสอง ขณะที่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน จะกดดันให้เศรษฐกิจฟื้นได้ไม่เต็มที่

สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะเติบโตดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย TDRI คาดว่า ปีนี้จะขยายตัวได้ 3.5% ปัจจัยหลักมาจากการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวมากขึ้น รายรับจากนักท่องเที่ยวปีนี้ที่คาดไว้ 25 ล้านคน จะเป็นตัวผลักดันและขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็น่าจะยังไปได้ต่อ ทำให้เศรษฐกิจไทยยังโตได้

และการลงทุนจะเป็นอีกปัจจัยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งการลงทุนจากคนไทยและต่างประเทศ จะมีการย้ายฐานการลงทุนมาไทย เนื่องจากปัญหาจีนกับสหรัฐฯ ยังจะไม่หยุดลงง่าย ๆ   แม้ไทยเป็นประเทศอันดับสองของอาเซียนรองจากเวียดนาม ที่มีบริษัทย้ายมาลงทุน แต่ไทยได้เปรียบเรื่องการมุ่งไปสู่สังคม Low-Carbon และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ดีกว่าเวียดนามมาก ทำให้บริษัทต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และ Cloud Service  

เม็ดเงินที่จะลงมาในประเทศไทย หรือในตลาดหุ้นไทย เป็นไปในทิศทางบวก แต่ต้องมีการกระจายการลงทุนที่แตกต่างจากปีที่แล้ว โดยนักลงทุนควรปรับแนวทางการลงทุนมาเป็นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์ คือ การท่องเที่ยว รถยนต์ EV หรือ Low-Carbon แทน

ผู้สนใจ อยากฟังเนื้อหาแบบละเอียด สามารถเข้าไปหาชมย้อนหลังได้ใน Maruey Talk  หรือ ต้องการเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!!