“จอห์นสัน” เริ่มทดลองทางคลินิกวัคซีนโควิด-19 ในเฟส 3 แล้วทั่วโลก คาดเริ่มใช้ต้นปีหน้าในกลุ่มแรก

รับอาสาสมัคร 6 หมื่นคนจาก 3 ทวีป ตั้งเป้าผลิต 1 พันล้านโดสต่อปี ผลิตวัคซีนต้านโควิดราคาย่อมเยาว์ไม่แสวงหากำไร

อาสาสมัครกลุ่มแรกได้รับวัคซีนในการทดลองเฟส 3  เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนตัวเลือกป้องกันเชื้อโควิด-19 ของแจนส์เซน ซึ่งได้แก่ JNJ-78436735 หรือ Ad26.COV2.S

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันประกาศเริ่มการทดลองเฟส 3 (ENSEMBLE) สำหรับวัคซีนตัวเลือก JNJ-78436735 ครั้งใหญ่ที่สำคัญ ซึ่งจะเกิดขึ้นในหลายประเทศ วัคซีนตัวนี้กำลังได้รับการพัฒนาโดยบริษัทในเครือแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล โดยการริเริ่มการทดลอง ENSEMBLE เกิดขึ้นหลังจากการทดลองทางคลินิกระยะ 1/2a ของบริษัทได้ผลเบื้องต้นในเชิงบวก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความปลอดภัยและความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันหลังการฉีดวัคซีนครั้งเดียวนั้นสนับสนุนการพัฒนาต่อไป  ผลการทดลองดังกล่าวถูกส่งไปให้แก่ medRxiv และจะได้รับการเผยแพร่ทางออนไลน์ภายในเร็ววันนี้ 

จากผลการทดลองดังกล่าว และหลังการหารือกับสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ENSEMBLE จะรับสมัครอาสาสมัครไม่เกิน 60,000 คนจาก 3 ทวีป และจะศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโดสเดียว เมื่อเทียบกับวัคซีนหลอกในการป้องกันเชื้อโควิด-19

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยังคงเพิ่มกำลังการผลิต และจะยังคงเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายในการผลิตวัคซีน 1 พันล้านโดสต่อปี บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะผลิตวัคซีนในราคาย่อมเยาให้แก่ประชาชนแบบไม่แสวงผลกำไร เพื่อการใช้ในโรคระบาดฉุกเฉิน และคาดว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 กลุ่มแรกจะออกมาเพื่อการอนุมัติให้ใช้ตามมาตรการฉุกเฉินในช่วงต้นปีหน้า ถ้าหากพบว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะพัฒนาและทดสอบวัคซีนตัวเลือกตามมาตรฐานด้านจริยธรรมและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เคร่งครัด บริษัทมีพันธกิจต่อความโปร่งใสและการแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวกับการทดลอง ENSEMBLE เฟส 3 ซึ่งรวมถึงวิธีในการวิจัย

“เนื่องจากโรคโควิด-19 ยังคงกระทบชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก เป้าหมายของเราจึงยังคงเหมือนเดิม นั่นคือการใช้ความครอบคลุมทั่วโลกและการคิดค้นนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ของบริษัทเรา เพื่อช่วยยุติโรคระบาดครั้งนี้” อเล็กซ์ กอร์สกี ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าว “ในฐานะบริษัทเฮลธ์แคร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราจะนำหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด และมาตรฐานความปลอดภัยที่เคร่งครัดมาใช้ โดยร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อเร่งการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ หลักไมล์ที่สำคัญครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่มุ่งมั่นของเราที่จะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือและความมุ่งมั่นแรงกล้าต่อขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ เราจะรักษาความโปร่งใสในการทดลองทางคลินิก และแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของเรา ซึ่งรวมถึงรายละเอียดของวิธีการวิจัยของเราด้วย”

“เรายังคงให้ความสำคัญอย่างเต็มที่กับการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เป็นที่ต้องการโดยด่วน มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพให้แก่ประชาชนทั่วโลก” นายแพทย์พอล สตอฟเฟิลส์ รองประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าว “เราให้คุณค่าอย่างยิ่งกับการสนับสนุนและความร่วมมือจากพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์ของเรา และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขทั่วโลก ขณะที่ทีมผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกของเรากำลังทำงานต่อเนื่องในการพัฒนาวัคซีน และขยายกำลังการผลิตของเรา โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตวัคซีนสำหรับการอนุมัติในการใช้ตามมาตรการฉุกเฉินในช่วงต้นปีหน้า”

วัคซีนตัวเลือกป้องกันโรคโควิด-19 ของแจนส์เซน ใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยี AdVac(R) ของบริษัท ซึ่งมีการนำไปใช้เพื่อพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกัน Ebola ของแจนส์เซนที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมาธิการยุโรปแล้ว และผลิตวัคซีนตัวเลือกสำหรับ Zica, RSV และ HIV ด้วยเช่นกัน โดยแพลตฟอร์มเทคโนโลยี AdVac(R) ของแจนส์เซน ถูกนำไปใช้ในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนกว่า 100,000 คนแล้ว ในโครงการวัคซีนที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาของแจนส์เซน

ด้วยเทคโนโลยี AdVac(R) ของแจนส์เซน ถ้าหากประสบผลสำเร็จ คาดว่าวัคซีนนี้จะคงตัวได้ 2 ปีหากเก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส และอย่างน้อย 3 เดือนที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้วัคซีนตัวเลือกนี้สามารถใช้ได้กับช่องทางการกระจายวัคซีนมาตรฐาน จึงไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อนำวัคซีนไปมอบให้แก่ผู้ที่ต้องการ

การศึกษา ENSEMBLE เฟส 3

การศึกษา ENSEMBLE เฟส 3 เป็นการทดลองทางคลินิกที่มีการควบคุมวัคซีนหลอก มีการปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง และเป็นแบบสุ่ม ที่มีจุดประสงค์เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโดสเดียว เมื่อเทียบกับวัคซีนหลอก ในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 60,000 คน ซึ่งรวมถึงตัวแทนที่มีนัยสำคัญจากกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี การทดลองครั้งนี้จะรวมทั้งกลุ่มที่มีและไม่มีภาวะการเกิดโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะทำให้โรคโควิด-19 ร้ายแรงขึ้น และจะรับสมัครอาสาสมัครในอาร์เจนตินา บราซิล ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก เปรู แอฟริกาใต้ และสหรัฐ ทั้งนี้ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแจนส์เซน จะมีการเริ่มการทดลองในประเทศและสถานที่ทดลองทางคลินิกที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 สูง และมีความสามารถในการเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากการดำเนินการที่มีจุดประสงค์เป็นแรงขับ และความมุ่งมั่นต่อความหลากหลายและการรวมให้ครอบคลุม บริษัทจึงตั้งเป้าหมายที่จะทำให้มีกลุ่มประชากรเข้ามาเป็นตัวแทน ซึ่งเป็นประชากรที่ได้รับผลกระทบอย่างไม่เหมาะสมจากโรคระบาดนี้ ในการเริ่มโครงการทดลองวัคซีนป้องกันโควิด-19 เฟส 3 โดยในสหรัฐ กลุ่มผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะรวมถึงตัวแทนจากคนผิวดำ ฮิสแปนิก/ลาติน อเมริกันอินเดียน และชาวพื้นเมืองอลาสกา

ENSEMBLE เป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้นด้วยความร่วมมือกับสำนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวการแพทย์ของสหรัฐ (BARDA) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายการเตรียมพร้อมและการจัดการ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) ภายใต้ข้อตกลง Other Transaction Agreement HHSO100201700018C และสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NIAID) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ของ HHS

พร้อมกันนี้ บริษัทได้บรรลุข้อตกลงในหลักการที่จะร่วมมือกับสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (รัฐบาลอังกฤษ) ในการทดลองทางคลินิกเฟส 3 ที่แยกต่างหากในหลาย ๆ ประเทศ เพื่อศึกษาการฉีดวัคซีนตัวเลือกของแจนส์เซนแบบ 2 โดส

ดร.นพ. มาไธ แมมเมน ผู้อำนวยการสากล บริษัทแจนส์เซน รีเสิร์ช แอนด์ ดีเวลลอปเมนต์ ในเครือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “เนื่องจากวัคซีนตัวเลือกของเรากำลังอยู่ในขั้นการทดลองเฟส 3 ระดับโลก เราจึงใกล้เข้าไปอีกขั้นที่จะหาทางออกสำหรับโรคโควิด-19 เราได้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานอย่างมาก เพื่อคัดเลือกวัคซีนตัวเลือกตัวนี้ เรารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งต่อความพยายามไม่หยุดของทีมนักวิจัยของเรา และการสนับสนุนที่สำคัญของอาสาสมัครที่สมัครใจมามีส่วนร่วมในการศึกษาของเรา เรากำลังทำงานร่วมกันเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคระบาดนี้”

บริษัทกำลังเจรจากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายราย ซึ่งรวมถึงรัฐบาลประเทศต่าง ๆ และองค์กรระดับโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะทำตามพันธสัญญา เพื่อทำให้วัคซีนตัวเลือกสามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก ถ้าหากวัคซีนตัวนี้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หลังได้รับการรับรองตามกฎเกณฑ์