“จระเข้” ลั่นกลองพร้อมรบตลาดสินค้าก่อสร้าง ลุยพัฒนาผลิตภัณฑ์เจาะตลาดโครงสร้างพื้นฐาน กางแผนบุกเวียดนาม วางเป้ายอดขาย 4 ปี แตะ 5 พันล้าน

  • ลุยเดินหน้าต่อสู่ทศวรรษที่ 4 มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าเพื่อความสุขที่ยั่งยืน
  • เผย “จระเข้” เป็นแบรนด์ไทยที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า
  • ชูความต่างเลือกใช้วัตถุดิบ และเน้นกระบวนการรักษ์โลกในการผลิตสินค้า
  • ลั่นทุกกลุ่มสินค้าของจระเข้ เป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานระดับประเทศและสากล
  • แย้มแผนปี 66 ขยายตลาดทั้งใน-ต่างประเทศ คาดยอดขายปีนี้เติบโตกว่า 10%

นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตรา “จระเข้” นวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง ครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคา เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าก่อสร้าง เพื่อคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของการให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้าของบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวปูกระเบื้อง และไม่หยุดยั้งในการพัฒนานวัตกรรมเคมีก่อสร้าง ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมซ่อมแซม และตกแต่งแบบครบวงจร เพื่อบ้าน อาคาร ไปจนถึงงานโครงสร้างพื้นฐาน SEE JORAKAY สีธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากสีทั่วไป ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพและการดูแลสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำยาเคลือบและปกป้องพื้นผิว (Coating) และ JORAKAY GREEN PRODUCTS เพื่อตอบโจทย์กลุ่มอาคารเขียว

ทั้งนี้ แผนการลงทุนในระยะ 3-5 ปีจากนี้ จะมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในด้านของการขยายสินค้ากลุ่มเคมีก่อสร้างให้ครอบคลุมมากขึ้น ใช้ Enterprise Resource Planning หรือ ERP พัฒนาระบบการจัดการตั้งแต่การผลิต จัดส่ง และเชื่อมต่อการชำระเงิน รองรับการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ผนวกกับ Customer Data / Digital Transformation เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำรวดเร็วขึ้น ในรูปแบบของ B2B2C เสริมด้วย Non Products เช่น บริการติดตั้ง โดยช่างฝีมือที่ได้รับการรับรองจากศูนย์ฝึกอบรม จระเข้ อะคาเดมี่ (JORAKAY ACADEMY TRAINING CENTER) เป็นการต่อยอดบริการให้คำปรึกษาและบริการเกี่ยวเนื่องกับการอยู่อาศัยอย่างครบวงจร  

นายศุภพงษ์  กล่าวว่า ในปี 66 บริษัทฯ ยังมีแผนบุกขยายในกลุ่มตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยจะมุ่งเน้นไปในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านทั้ง กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม (CLMV) โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม  ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสการเติบโตสูง ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทฯ ก็เข้าไปทำตลาดมาแล้ว 4-5 ปี โดยจากนี้จะเจาะตลาดเวียดนามจริงจัง นำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มกาวซีเมนต์และกาวยาแนวที่เน้นเรื่องราคาและคุณภาพที่เหมาะสม

“เวียดนามขณะนี้ ถือเป็นประเทศที่มีโอกาสส่งผลิตภัณฑ์ไปทำตลาดอย่างมาก โดยจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือประเทศไทยปัจจุบันมีการใช้งานปูกระเบื้องเฉลี่ยที่ 100 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งในส่วนของเวียดนามตัวเลขสูงเป็น 3 เท่าของไทย”

นายศุภพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายยอดขายในปี 65 นี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่ทำยอดขายได้ 2,800 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ยังวางเป้าหมายยอดขายภายใน 4-5 ปี ต้องแตะระดับ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้านวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งแบบครบวงจร งานโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการก่อสร้างระบบคมนาคมเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการต่อยอดนวัตกรรมใหม่มุ่งตอบโจทย์สุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย เช่น ลดความเสี่ยงเชื้อโรค ลดสารประกอบอินทรีย์วัตถุระเหยง่าย (VOCs) เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะลุยเน้นทำตลาดผลิตภัณฑ์เจาะกลุ่มงานด้านโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น อาทิ งานก่อสร้างซ่อมแซมท่าเรือ สะพาน อาคาร งานระบบประปา โดยจะชูผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำยาเคลือบและปกป้องพื้นผิว ที่จะช่วยยืดอายุคอนกรีตของสิ่งก่อสร้างดังกล่าวให้มีอายุยาวนานขึ้น ซึ่งขณะนี้มีการดีลดำเนินการแล้ว เช่นที่ท่าเรือสมุย ระยอง และภูเก็ต อีกทั้งยังมีการพัฒนาในผลิตภัณฑ์คอนกรีตรับแรงอัดสูง เพื่อนำไปในส่วนของรางของรถไฟความเร็วสูงอีกด้วย

“ปัจจุบันสินค้าที่มียอดขายสูงสุดกว่า 80% ของยอดขายทั้งหมด ได้แก่ กลุ่มกาวซีเมนต์ เขียว แดง เงิน ทอง ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 50% โดยเฉพาะกาวเขียวที่มียอดขายอันดับ 1 ในตลาดต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มกาวยาแนวพรีเมียม พลัส ป้องกันราดำ ที่มียอดขายอันดับ 1 ในตลาด ซึ่งจระเข้เป็นผู้ริเริ่มนวัตกรรมนี้รายแรกในตลาด และกลุ่มผลิตภัณฑ์กันซึม รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มนวัตกรรมซีเมนต์กันซึมส่วนผสมเดียว อีกทั้งปัจจุบันยอดขายกว่า 70% ของบริษัทฯ เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ เป็นผลจากที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีช่องทางในการจัดจำหน่ายแบ่งเป็นออฟไลน์ 95% ส่วนออนไลน์อยู่ที่ 5%  และมีจำนวนผู้แทนจำหน่ายรวมกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ ซึ่งจะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางเป้าหมายยอดขาย 3 ปีจากนี้ 80% ภายในประเทศ 20% เป็นตลาดต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันสัดส่วนภายในประเทศอยู่ที่ 90% ต่างประเทศอยู่ที่ 10%

นอกจากนี้ ในราคาผลิตภัณฑ์ของจระเข้ ในช่วงหลายปีผ่านมาไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด ล่าสุดมาปี 65 ได้มีการปรับราคาไป 2 ครั้ง คือเมื่อต้นปีและกลางปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยปรับขึ้นประมาณ 10% เนื่องด้วยจากปัญหาราคาต้นทุนวัตถุดิบจากต่างประเทศที่ปรับสูงขึ้น ปัญหาด้านพลังงาน ซึ่งเหล่ามีผลต่อปัจจัยการผลิต ทั้งนี้สำหรับในปี 66 บริษัทฯก็ยังไม่แผนขยับราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขึ้นแต่อย่างใด

นายศุภพงษ์  กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ในด้านการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้กำหนด 5 กลยุทธ์สำคัญ ด้านความยั่งยืนครอบคลุมทุกห่วงโซ่ อันได้แก่ 1.ลดการปล่อย CO2 ในกระบวนการต่างๆ  2. ลดปริมาณขยะและของเสียเน้นใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3. ลดองค์ประกอบหรือกระบวนการที่ก่อให้เกิดสารพิษ 4. เพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5. สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ด้านการศึกษา สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม 

“ สำหรับเทรนด์ของธุรกิจวัสดุก่อสร้างในอนาคตยังคงมีอัตราการเติบโตสูง หลังการระบาดของโรคโควิด-19 โครงการที่อยู่อาศัยจากตัวเมืองขยายสู่รอบนอก ตามพฤติกรรมของคนที่ปรับเปลี่ยนการทำงานเป็นแบบไฮบริด หรือทำงานผ่านออนไลน์มากขึ้น เป็นรูปแบบของการ Work from Everywhere ซึ่งทำให้ความสำคัญของพื้นที่อาคารสำนักงานในตัวเมืองอาจลดลง เกิดเป็นแนวโน้มย้ายที่อยู่อาศัยไปนอกเมืองมากขึ้นกว่าเดิม โดยบ้านยุคใหม่ต้องรองรับกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น เป็นสมาร์ทโฮมมากขึ้น ระบบโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการคมนาคมก็ขยายตาม ที่สำคัญคือเทรนด์การก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก็ล้วนจะเป็นตัวช่วยหนุนให้ตลาดธุรกิจวัสดุก่อสร้างเติบโต” นายศุภพงษ์  กล่าว