คลังเล็งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

สศค.เล็งเสนอมาตรการอัดฉีดกลุ่มผู้บริโภคคนชั้นกลางเสนอรัฐบาลหน้า หวังไม่ให้ใช้เงินรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ร่วมกันใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมลุ้นสงครามการค้าคลี่คลายในการประชุมจี 20

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ปัจุบันได้มอบหมายให้แต่สำนักงานของสศค.ติดตามเศรษฐกิจในช่วงนี้อย่างใกล้ชิด และไปดูว่าควรจะมียาแรงที่กระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เพื่อเตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ โดยมาตรการที่คาดว่าจะนำมาใช้และเห็นผลเร็วที่สุด คือมาตรการกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามการนำมาตรการใดๆ มาใช้จะต้องดูว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นด้วยว่าเป็นอย่างไร และควรจะใช้มาตรการใดถึงจะเหมาะสมมากที่สุด

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นบริโภคสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไปแล้ว ซึ่งเงินในกลุ่มนี้ถูกนำไปใช้ทั้งหมด ละไม่มีการต่อยอดของเงิน อาทิ รัฐบาลให้เงินไป 100 บาท ผู้มีรายได้น้อยก็ใช้จ่าย 100 บาท ไม่ควักเงินใช้จ่ายเพิ่มเติมจากจำนวนเงินที่รัฐบาลให้มา เนื่องจากมีกำลังในการซื้อเท่านี้ แต่ถ้าเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง เช่น ก่อนหน้านี้เคยมีแนวคิดแจกเงินท่องเที่ยวคนละ 1,500 บาทหนึ่งครอบครัวมีพ่อและแม่ ก็จะได้รับเงิน 3,000 บาท ซึ่งถ้าไปเที่ยวทั้งครอบครัว อาจต้องควักเงินมาใช้จ่ายเพิ่ม 5,000 บาท เพราะเงิน 3,000 บาทอาจไม่เพียงพอ ซึ่งกระทรวงการคลังอยากเห็นมาตรการในลักษณะนี้ คือ อยากให้เอกชน ประชาชน เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่ใช้เงินรัฐบาลเพียงอย่างเดียว

“เรื่องท่องเที่ยวแค่ยกตัวอย่าง ยังไม่ใช่ข้อสรุป ขณะนี้ยังคงไม่สรุปว่าจะใช้มาตรการใด เพราะต้องการให้หน่วยงานของ สศค.ไปทำการบ้านมาก่อน รวมถึงต้องดูเงินในกระเป๋าของรัฐบาลด้วย และต้องประเมินภาวะเศรษฐกิจ สถานการณ์สงครามการค้าว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงการส่งออกพด้วย โดยหลังจากนี้จะมาพิจารณาอีกที เพื่อเตรียมไว้เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่และรัฐบาลใหม่”

ทั้งนี้กระทรวงการคลังยังประมาณการณ์ เศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 3.8% และการส่งออกโตอยู่ที่ 3.4% ซึ่งสูงกว่าที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจปีนี้โต 3.6% ส่งออกโต 2.2% เนื่องจากคลังประเมินตัวเลขไว้ตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสศค.ขอติดตามตัวเลขในเดือนพ.คและมิ.ย.นี้ ก่อนปรับประมาณการอีกครั้งในเดือนก.ค.2562

“เรื่องการส่งออกของไทยนั้นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยต้องดูว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาจะจบลงอย่างไร โดยผู้นำจีนและสหรัฐฯ จะมีการพบปะหารือกันในการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศพัฒนาและเศรษฐกิจเกิดใหม่หรือจี 20 ช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งสศค.คาดหวังว่าจะมีสัญญาญที่ดีจากการประชุมดังกล่าว และหากสงครามการค้าคลี่คลายก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยด้วย”

ผู้สื่อข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2562 รัฐบาลได้ใช้วงเงินงบประมาณแบบกึ่งการคลัง หรือการกู้เงินจากสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อนำมาใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐบาล ไปแล้ว 28 % จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ซึ่งตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งเกือบจะเต็มเพดานที่กำหนด 30 % ของงบประมาณแล้ว