- เผยตรึงราคาขายปลีกต่อเป็นสัปดาห์ที่ 3
- หลังจากปลดล็อกปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.65 เป็นต้นมา
- หวังช่วยบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพประชาชน
- คาดภายหลังมาตรการ คลังต่ออายุลดภาษีดีเซล จะลดความผันผวนราคาขายปลีกลงได้
วันนี้ (18 พ.ค.65) นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาทบทวนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยมีมติให้คงราคาดีเซล
ในสัปดาห์นี้ไว้ที่ 32 บาทต่อลิตรเช่นเดิม ถึงแม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันดีเชล (Gas Oil) 141.15 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังอยู่ในวิสัยที่จะบริหารจัดการสภาพคล่องได้ เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบในช่วงเวลานี้ให้กับประชาชนไปก่อน
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ต่ออายุลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลให้เป็น 5 บาทต่อลิตรไปอีก 2 เดือนตั้งแต่ 21 พ.ค. – 20 ก.ค. 2565 กบน.จะพิจารณาอีกครั้งว่า แนวทางการบริหารจัดการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยลดความผันผวนด้านราคาของน้ำมันดีเซลลง
“อย่างไรก็ดี อัตราภาษีที่ลดลง 5 บาทต่อลิตร ไม่ได้หมายความว่าราคาดีเซลจะลดลง 5 บาทต่อลิตร เพราะขึ้นอยู่กับฐานการคำนวณภาษีจะลดลงตามสัดส่วนน้ำมันดีเซลที่ผสมอยู่ในน้ำมันไบโอดีเซล (B100) เช่น ฐานภาษี B5 – B7 อัตราภาษีสรรพสามิตเดิม 5.99 บาทต่อลิตร แต่อัตราที่ลดลงจริงจะอยู่ที่ 4.65 บาทต่อลิตร ดังนั้น อัตราภาษีใหม่ที่ลดลงหน้าสถานีบริการน้ำมันจะจัดเก็บอยู่ที่ 1.34 บาทต่อลิตร จากเดิม 5.99 บาทต่อลิตร” นายกุลิศ กล่าว
สำหรับการพิจารณาทบทวนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ของ กบน. เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่22 มี.ค. 2565 เรื่อง 10 มาตรการลดค่าครองชีพ โดยรัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่ง ซึ่ง กบน. ได้พิจารณาปรับราคาน้ำมันดีเซลครั้งแรกมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 เป็นต้นมา
โดยปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อลิตร และจะทยอยปรับราคาขึ้นลงเป็นรายสัปดาห์ หากในแต่ละรอบสัปดาห์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีการปรับลดลง ก็จะมีการปรับเงินอุดหนุนและปรับเพดานราคาลดลงตามความการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันต่อไป
สำหรับประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปัจจุบัน วันที่ 15 พ.ค. 2565 ติดลบ 72,062 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 37,854 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 34,208 ล้านบาท