กระทรวงพลังงานเกาะติดตลาดโลก ลุ้นเปิดสัปดาห์ราคาน้ำมันลดลงอีก

  • หลังไบเดนเปย์เพิ่ม 180 ล้านบาร์เรล
  • สกัดราคาโลกพุ่ง
  • ขณะที่โควิดระบาดจีน

นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงกรณี นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (เอสพีอาร์) ปริมาณ 180 ล้านบาร์เรล เฉลี่ยจะระบายน้ำมันดิบ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 6 เดือน ว่ากระทรวงพลังงานกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นว่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายปลีกในประเทศด้วย

เบื้องต้นนักวิเคราะห์ต่างออกมาประเมินว่าราคาน้ำมันดิบจะเริ่มคลายตัวปรับลดลง แต่ก็ต้องติดตามหลายปัจจัยประกอบ อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศจีนที่รัฐบาลกลับมาล็อกดาวน์บางเมือง โดยราคาน้ำมันขายปลีกของไทยมีการปรับลดลงในกลุ่มเบนซินมีผลวันที่ 2 เมษายนนี้ ส่วนหลังจากนี้จะลงหรือขึ้นต้องอยู่ที่สถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป หากตลาดโลกลดลงราคาขายปลีกก็มีโอกาสลดลงอีก

“ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตา ประเด็นการระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ประเด็นโควิดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง รวมทั้งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยกระทรวงพลังงานจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้ค้าน้ำมันของไทย” นายสมภพกล่าว

รายงานข่าวจากหน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่า ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลังนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (เอสพีอาร์) ปริมาณ 180 ล้านบาร์เรล ถือเป็นปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นปริมาณที่เทียบเท่ากับความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกเป็นเวลา 2 วัน โดยตามแผน 180 ล้านบาร์เรล เฉลี่ยจะระบายน้ำมันดิบ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 6 เดือน

นอกจากนี้ นายไบเดนระบุว่า ประเทศพันธมิตรยังสามารถระบายน้ำมันเพิ่มได้อีก 30 ล้าน ถึง 50 ล้านบาร์เรล โดยผลจากนโยบายดังกล่าวนักวิเคราะห์ต่างมองว่าการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ เป็นสัญญาณว่าสหรัฐไม่ได้คาดหวังว่าวิกฤตการณ์ในยูเครนจะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมองว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ เป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราวและไม่สามารถแก้ไขการขาดดุลอุปทานเชิงโครงสร้างได้ เนื่องจากเอสพีอาร์ ไม่ใช่แหล่งอุปทานที่คงอยู่ในปีถัดไป