กรมรางชูยุทธศาสตร์”ไทยเฟิร์ส”หนุนลงทุนระบบรางใช้โลคัลคอนเท้นต์40%

ภาครัฐ-เอกชน ลงนามร่วมพัฒนาระบบราง ดัน ยุทธศาสตร์ “ไทยเฟิร์ส” โครงระบบรางใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศ40% ภายใน 4 ปี พร้อมวางแผนความต้องการใช้บุคลากรด้านระบบรางในอนาคต ด้าน “กรมรางฯ” เร่งศึกษาผลิตเครื่องยึดเหนี่ยวรางใช้เอง ประเดิมใช้ภายในปี 66

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยภายหลังการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการส่งเสริมการพัฒนาระบุบราง ระหว่างกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สวทช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 15 หน่วยงานว่า การพัฒนาระบบรางต้องพัฒนาใน 2 ส่วนไปพร้อมกัน ทั้งด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและบุคลากร ซึ่งสถาบันวิจัยต่างๆ ที่ร่วมลงนามในครั้งนี้ จะเข้ามามีบทบาทในการช่วยกันพัฒนา พร้อมผลักดันระบบรางให้มีศักยภาพ และเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมรางในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

ขณะเดียวกัน การลงนามในครั้งนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จะมีการหารือร่วมกันถึงทิศทางในการผลิต ฝึกฝนบุคลากร เพื่อมารองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมระบบรางในอนาคตว่า จะมีความจำเป็นจะต้องผลิตบุคลากรผ่านระบบอุดมศึกษาที่เกี่ยวข้องกับระบบรางในแต่ละปีในจำนวนเท่าใด เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในอุตสาหกรรม ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงมีการลงทุนระบบรางรูปแบบใหม่จำนวนมาก ทั้งรถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูง

ด้านนายสรพงษ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง( ขร.) กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ จะมีการวางมาตรฐานเพื่อกำหนดชิ้นส่วนของรถไฟและกำหนดการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์รถไฟ ภายในประเทศให้ได้ 40% ในปี 66 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันไทยสามารถผลิตอุปกรณ์ในระบบส่งกำลัง ระบบเบรก และอุปกรณ์ภายในตัวรถได้แล้ว โดยในขณะนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เริ่มมีการสั่งซื้อขบวนรถบรรทุกสินค้าที่ประกอบภายในประเทศ ซึ่งจะมีส่วนทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับระบบราง เช่น อุตสาหกรรมเหล็กมีการเติบโตมากขึ้น

นอกจากนี้ การใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงที่ปัจจุบันมีการใช้งบประมาณประมาณ 9,600 ล้านบาทต่อปี และในอนาคตจะเพิ่มเป็นกว่า 15,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งอาจจะช่วยลดราคาค่าโดยสารของผู้ใช้บริการได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้น ขร. อยู่ระหว่างการพัฒนา ศึกษา และวิจัย ในการผลิตเครื่องยึดเหนี่ยวราง (Rail Fastener) โดยผู้ประกอบการคนไทย เนื่องจากในปัจจุบันจะเป็นการนำเข้าจากประเทศจีนทั้งหมด 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะศึกษาและวิจัยแล้วเสร็จภายใน 8 เดือน จากนั้นจะทำการทดสอบทุกสภาวะอากาศระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่จะผู้ผลิตภายในประเทศว่าสามารถผลิตได้หรือไม่ และทดลองใช้ต่อไป ซึ่งคาดว่า จะเริ่มใช้ได้ภายในปี 66 ทั้งนี้ การศึกษาดังกล่าวนั้น เป็นไปตามหลักการ Thai First คือ ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้รับประโยชน์ก่อน ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่จะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม รวมถึงการใช้วัสดุทดแทนที่ผลิตจากยางพารา ในโครงการของหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยยกระดับราคายางพารา แก้ปัญหารายได้ของเกษตรกรด้วย