ไทยพบผู้ป่วย “ฝีดาษลิง” รายที่ 12 เพศชายวัย 25 ปีเดินทางมาจากโอมาน แพทย์ชี้ถุงยางอนามัยป้องกันไม่ได้



  • พบผู้ป่วยเดินทางมาถึงไทยวันที่ 3 ต.ค.65 และบินตรงต่อไปภูเก็ตวันที่ 4 ต.ค.
  • มีประวัติไปเที่ยวสถานบันเทิง ไปร้านอาหารอาหรับ ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์
  • ลั่นถุงยางอนามัยยังไม่สามารถป้องกันโรคฝีดาษวานรได้
  • เพราะการสัมผัสชิดเนื้อแนบเนื้อ ก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้มีรายงานพบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง รายใหม่ 1 ราย ซึ่งนับเป็นรายที่ 12 ที่พบในประเทศไทย โดยเป็นนักท่องเที่ยวเพศชาย อายุ 25 ปีสัญชาติโอมาน เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 3 ต.ค.65 และบินตรงมาถึงภูเก็ตวันที่ 4 ต.ค. เดินทางมากับเพื่อน 4 คน สอบถามข้อมูลเบื้องต้นที่อยู่ใน จ.ภูเก็ต ผู้ป่วยมีประวัติไปเที่ยวสถานบันเทิง ไปร้านอาหารอาหรับ ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ ปฏิเสธเพศทางเลือก

ต่อมาวันที่ 11 ต.ค.65 เริ่มมีอาการไข้ ไอ ปวดศีรษะ มีตุ่มหนองขึ้นตามลำตัว อวัยวะเพศ ขา และหน้าอก ต่อมาวันที่ 18 ต.ค.65 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลป่าตอง จ.ภูเก็ต และทางโรงพยาบาลได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจเชื้อที่ห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11/1 จ.ภูเก็ต ผลตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อ Monkeypox virus ส่วนเพื่อนอีก3 คน ไม่มีอาการ สำหรับปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้ออยู่ระหว่างการสอบสวนโรค

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องที่ประชาชนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีป้องกันโรคฝีดาษวานร คือการใช้ถุงยางอนามัย แม้ถุงยางอนามัยจะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หลายโรคแต่ถุงยางอนามัยยังไม่สามารถป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ เพราะการสัมผัสชิดเนื้อแนบเนื้อก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้

การป้องกันจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแนบชิดกับผู้ที่มีอาการไข้ มีผื่น ตุ่มน้ำ ตุ่มหนองบริเวณร่างกาย งดการมีเพศสัมพันธ์ หรือสัมผัสใกล้ชิดคนแปลกหน้า หรือไม่รู้ประวัติมาก่อน สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดผู้อื่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รับประทานอาหารปรุงสุกสะอาด เลี่ยงการไปสถานที่แออัด หรือเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดโรคฝีดาษวานร