

ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กรรมการบริหาร มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ เปิดเผยว่า ตามปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์นั้นทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิด ช่วงเวลาเก็บตัวลดการเสี่ยงไวรัสระบาดตอนนี้ นอกจากจะต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ได้รับเชื้อมาทำลายสุขภาพแล้ว ยังต้องฉลาดที่จะรู้จักดูแลระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราด้วย
ทั้งนี้เพื่อไม่เสียเวลา เรามาเรียนรู้การช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรา ดังนี้
1.นอนพักผ่อนให้ถูกต้องและพอเพียง การนอนหลับสนิทในความมืดโดยไม่มีการรบกวนจากแสง เสียง และคลื่นสื่อสารใดๆนั้นจะทำให้ระบบการผลิตฮอร์โมนที่จะช่วยต่อต้านความแก่ชราได้รับการผลิตออกมาอย่างมากเพียงพอที่จะทำให้ร่างกายสดชื่น ลดอาการอ่อนล้า และที่สำคัญยังช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้นกันได้รับการฟื้นฟูจากการทำงานหนักตลอดวันอีกด้วย การนอนหลับสนิทจึงเป็นรากฐาน และข้อแนะนำข้อแรกที่ต้องถือปฏิบัติให้ถูกต้อง ควรเข้านอนเป็นประจำให้หลับสนิทก่อนเที่ยงคืน
2.ได้รับสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างและซ่อมแซมระบบภูมิคุ้มกันอย่างถูกต้องและพอเพียง การรับประทานพืชผักและผลไม้สดตามฤดูกาลโดยเฉพาะพืชผักผลไม้ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น ได้แก่ พืชที่มีสีสันสดใสรวมทั้งเห็ดทุกชนิด ผลไม้ที่มีรสเปรียวและมีปริมาณน้ำตาลน้อย สมุนไพรต่างๆเช่น ขมิ้นขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ฯลฯ สารอาหารที่ให้แร่ธาตุสังกะสีสูงเช่น หอยทะเล และผักสีเขียวเข้มเช่น ผักโขม นอกจากสารอาหารแล้วการดื่มน้ำสะอาดเป็นระยะๆอย่างพอเพียงก็จะช่วยเสริมการไหวเวียนของโลหิตในร่างกายทำให้ภูมิคุ้มกันในรูปแบบต่างๆสามารถที่จะไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น
3.การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ นอกจากจะช่วยกระตุ้นการผลิตภูมิคุ้มกัน ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายให้ดีขึ้นอีกด้วย และช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนต่อต้านความแก่ชราจากสมองซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่แก่ชราและกระฉับกระเฉงไปด้วย
4. การได้รับวิตามินดีจากแสงแดดเป็นประจำ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าคนที่ทำงานในที่โล่งแจ้งและได้รับแสงแดดอย่างพอเพียงนั้นจะไม่ค่อยป่วยเป็นไข้หวัดเหมือนคนที่ทำงานในสำนักงานและไม่เคยโดนแสงแดดเลยหรือโดนน้อยมาก เคล็ดลับก็คือวิตามินดีนั้นมีส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมนและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของคนเรา คนที่ได้รับไวตามินดีอย่างพอเพียงจึงมีระบบภูมิคุ้นกันที่ดีขึ้น แต่ต้องทราบด้วยว่าแสงแดดที่ส่องลงตั้งฉากกับผิวหนังจึงจะเกิดการสร้างไวตามินดีที่ผิวหนังได้ และต้องไม่ทายากันแดดที่จะยับยั้งการได้รับการกระตุ้นจากแสงแดด แต่สำหรับคนทำงานออฟฟิศหรือชีวิตต้องอยู่ในที่ร่มนั้นก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการเสริมด้วยวิตามินดีธรรมชาติให้มีระดับที่สมบูรณ์และพอเพียง
5.เจริญศีลภาวนาและการทำสมาธิเป็นประจำ การศึกษาวิจัยทางการแพทย์ว่าการทำสมาธิและการเจริญศีลภาวนานั้นจะสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ นอกจากนี้แล้วการดำเนินชีวิตตามวิถีทางของพุทธศาสนานั้นจะช่วยเพิ่มการมีอายุขัยที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีด้วยตามการศึกษาวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ New England Journal of Medicine ลงวันที่ 26 ธค 2562 ที่ผ่านมา การแผ่เมตตาก่อนนอนรวมทั้งการสวดมนต์เพื่อทำจิตใจให้สงบและนอนหลับสนิทนั้นเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของการมีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจ และระบบภูมิคุ้มกัน
6.งดเว้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาวิจัยใดๆที่ออกมาเพื่อที่จะบอกว่าการดื่มสุราในปริมาณไม่มากอาจจะมีส่วนช่วยในการทำให้อายุยืนยาวได้นั้น ไม่ได้มีการพูดถึงผลร้ายของแอลกอฮอล์เลยที่จะไปทำลายระบบเซลล์สมองและเซลล์ประสาท และยังไปทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานบกพร่องอีกด้วยในความเป็นจริงนั้นผู้ที่เว้นจากการดื่มสุราจะนอนหลับสนิทกว่า การผลิตฮอร์โมนกันแก่ชราผลิตออกมาได้ดีกว่า และผลที่ตามมาก็คือทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นจากเดิมหลังจากเลิกดื่มสุรา
7.งดเว้นการอยู่ในที่มีฝูงชนพลุกพล่านและอยู่ในที่แออัดที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก การอยู่ในกลุ่มคนนั้นอาจมีบางคนที่อยู่ในกลุ่มที่มีโรคติดเชื้อบางชนิดที่สามารถถ่ายทอดได้ทางละอองที่ฟุ้งกระจายมาในอากาศรวมทั้งอาจได้รับการเปื้อนปนสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลายจากการไอจามโดยไม่ปิดปากของผู้อื่นนอกจากนี้การอยู่ในห้องที่มีแอร์คอนดิชั่นแต่อากาศไม่ได้รับการกรองที่ถูกต้องเหมาะสมและไหลเวียนอยู่ในห้องตลอดเวลาย่อมจะนำเอาสิ่งเปื้อนปนต่างๆไม่ว่าจะเป็นมลภาวะหรือเชื้อโรคที่ถ่ายทอดติดต่อกันได้ทางการหายใจและการสัมผัส เมื่อเป็นดังนี้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจึงต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเป็นผลทำให้เกิดการอ่อนล้าและอาจจะทำหน้าที่ในการปกป้องตนเองไม่ได้ดีดังเดิม
8.ลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลง มีงานวิจัยพบว่าผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย การลดระดับของน้ำตาลในเลือดให้เหลือน้อยเท่าที่ร่างกายจำเป็นจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ระบบการทำงานได้เป็นปกติ สามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่งดและละเว้นการบริโภคน้ำตาลในอาหารทุกชนิด รับประทานแป้งและอาหารที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบให้น้อยลงโดยเฉพาะมื้อเย็น เดินประมาณ 10 นาทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จทุกครั้งหรือการทำการเว้นระยะการรับประทานอาหารและมีช่วงเวลาในการรับประทานให้น้อยลงที่เรียกว่า Intermittent Fasting ก็ได้เช่นกัน
9. รับประทานอาหารที่มีแบคทีเรียที่เป็นมิตรต่อร่างกาย เรียกว่า โปรไบโอติค ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในลำไส้และทำหน้าที่เป็นหน้าด่านป้องกันเชื้อโรคร้ายจากภายนอกไม่ให้แพร่พันธ์ และยังช่วยในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย อาหารที่มีโปรไบโอติค เช่นโยเกิต ถั่วหมักและกิมจิที่เกิดจากการหมักตามธรรมชาติ ที่สำคัญคือไม่ควรจะรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นประจำโดยไม่จำเป็น เพราะอาจไปทำลายแบคทีเรียที่เป็นมิตรของเราอีกด้วย
10. หาทางผ่อนคลายและลดความเครียด ความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจนั้นมีผลกระทบต่อทุกระบบของการทำงานของร่างกายมนุษย์ การเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายไม่ว่าการผ่อนคลายร่างกายจากการไปทำสปา อาบน้ำแร่ นวดสัมผัสด้วยน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ การออกกำลังกายเป็นประจำ และการทำสมาธิบำบัดหรือการเดินทางเพื่อพักผ่อนในวันหยุดล้วนแล้วแต่มีผลทำให้ความเครียดลดลง และระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ทุกคำแนะนำที่กล่าวมานั้น ถ้าทำได้ระบบภูมิคุ้มกันต้องดีขึ้นแน่นอน