เปิด 6 วิธีการโกง “เราเที่ยวด้วยกัน” กับ 3 วิธีตรวจสอบจับทุจริต



  • นายกฯยั้วจัดสั่งดำเนินการขั้นเด็ดขาด
  • “พิพัฒน์”สั่งขึ้นแบล็คลิสต์ไม่ให้ร่วมโครงการรัฐ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้ตรวจสอบพฤติกรรมและธุรกรรมที่น่าสงสัยมีการทุจริตในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน สรุปได้ 6 รูปแบบ คือ 1.การเข้าเช็กอินท์ในโรงแรมราคาถูก แต่ไม่ได้มีการเข้าพักจริง ซึ่งจะได้ประโยชน์ในการได้รับสิทธิอี-คูปองที่รัฐมอบให้ไปใช้จ่าย 2.โรงแรมขึ้นราคาค่าห้องพักสูงเกินจริง และยังรู้เห็นเป็นใจกับร้านอาหาร หรือร้านค้าที่รับชำระคูปอง และมีการขายสิทธิ์กัน ซึ่งสาเหตุที่ก่อให้สามารถกระทำลักษณะดังกล่าวได้ เป็นเพราะที่ผ่านมามีการปลดล็อกเงื่อนไข ให้สามารถใช้สิทธิเดินทางท่องเที่ยวได้ในภูมิลำเนาของตนเอง โดยเป็นการกระทำในแบบผู้ได้สิทธิร่วมมือกับโรงแรม ส่งเลขบัตรประชาชน 4 หลักสุดท้าย และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งสามารถใช้รับรหัสโอทีพียืนยัน ถือเป็นการโอนสิทธิได้ 3.โรงแรมที่ปิดตัวลงและยังไม่กลับมาเปิดตามปกติ แต่มีการลงทะเบียนตามปกติ และขายห้องพักเหมือนกลับมาเปิดเป็นปกติแล้ว ซึ่งกรณีนี้มีการตรวจพบทั้งการจองผ่านทางโรงแรมโดยตรง และการจองผ่านช่องทางตัวแทนออนไลน์ (โอทีเอ) ด้วย

สำหรับการทุจริตรูปแบบที่ 4.มีการใช้ส่วนต่างของอี-คูปอง เพื่อรับส่วนต่างเต็มจำนวน กรณีร้านค้าเพิ่มราคาอาหารไปมากกว่ามูลค่าอาหารที่แท้จริง 5.มีการเข้าพักจริง แต่เข้าพักแบบเป็นกรุ๊ปเหมา โดยตั้งราคาห้องพักในระดับสูง และสามารถรับเงินส่วนต่างที่ตกลงกันไว้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงแรมและผู้เข้าพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรณีที่จองตรงกับโรงแรม 6.โรงแรมที่เปิดขายห้องพักเกินจำนวนจริงที่มี อาทิ มีห้องพักจริง 100 ห้อง แต่เปิดขาย 300 ห้อง ซึ่งจำนวนห้องที่เกินมาจะนำไปขายต่อให้กับโรงแรมอื่น เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง

ผู้ว่า ททท. กล่าวว่า โรงแรมที่เข้าข่ายพฤติกรรมต้องสงสัยจำนวนประมาณ 312 รายนั้น มีผู้ใช้สิทธิ์ 108,962 ราย ส่วนของร้านค้า 202 ราย มีผู้ใช้สิทธิ์ 49,713 สิทธิ ซึ่งททท.จะดำเนินการตรวจสอบกรณีที่ต้องสงสัยให้เสร็จภายใน1 เดือน แบ่งการตรวจสอบออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ 1.มีการจอง เข้าพัก และทำการจ่ายเงินแล้ว หากพบว่ามีการทุจริตต่อโครงการ จะดำเนินคดีอย่างหนักทั้งทางแพ่งและอาญา 2.จองแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าพักและชำระเงิน จะให้ระงับการจ่ายเงินสำหรับธุรกรรมที่น่าสงสัยไว้ก่อน โดยจะประสานกับกระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นผู้ทำระบบ 3.จองแล้วยังไม่ได้เช็คอิน และยังไม่ชำระเงิน จะมีการตรวจสอบต่อไป โดยยืนยันว่าขณะนี้มีแนวทางการตรวจสอบที่ชัดเจน และมีทิศทางในการดำเนินการกับผู้ทุจริตอย่างหนัก

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการขั้นเด็ดขาด โดยใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทรัพย์สินของภาครัฐ กับกลุ่มคนที่ทุจริต หรือฉ้อโกงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพราะถือเป็นการทุจริตเงินของภาครัฐ ส่วนการกระทำครั้งนี้ น่าจะเป็นการฮั้วกัน ระหว่าง โรงแรม ร้านอาหาร และนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่ได้รับสิทธิ์ท่องเที่ยวหรือไม่นั้น หากมีหลักฐานชัดเจนว่ากระทำผิดจะต้องฟ้องร้องทั้งอาญา และแพ่ง และจะต้องยึดใบอนุญาตประกอบการ และสำคัญที่สุดต้องแบล็คลิสต์ ไม่ให้ร่วมโครงการของรัฐอีกต่อไป