“อนุชา”​ย้ำรัฐบาลตั้งใจ แก้ปัญหาที่ดินทำกิน



  • เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ประโยชน์ที่ดิน
  • อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเต็มศักยภาพ
  • อยู่อาศัยจากผืนแผ่นดินนี้ร่วมกันอย่างเท่าเทียม

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์หรืออยู่อาศัยจากผืนแผ่นดินนี้ร่วมกันอย่างเท่าเทียม การดำเนินงานของ คทช. ถือเป็นการขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้บรรลุตามเป้าหมายของนโยบายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ขอชื่นชมสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา จำกัด ซึ่งถือเป็นต้นแบบการบริหารงานสหกรณ์ ที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับชุมชนอื่นในพื้นที่ คทช. ได้ศึกษา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และก้าวเดินตามจนสามารถขยายผลนโยบายนี้ในภาพรวมต่อไป

สำหรับนโยบายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน  (คทช.) เป็นนโยบายของรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานคณะกรรมการฯ ขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะที่ดิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนวิเคราะห์ปัญหา สำรวจความต้องการของชุมชน กำหนดแนวทางการพัฒนาในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต

นายอนุชา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมกลุ่มสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสหกรณ์การเกษตรยัั่งยืนแม่ทา ซึ่งได้ผ่านเกณฑ์ความเข้มแข็งของสหกรณ์ จากการประเมินโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ และได้รับการยกระดับสหกรณ์เป็นผู้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนให้ผู้ขอใช้ประโยชน์การอยู่อาศัยและทำกินในป่าสงวนแห่งชาติ จากผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ ส่งผลให้มีราษฎรได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 1,374 ราย ที่ดินทำกิน 2,693 แปลง โดยผู้อยู่อาศัยบนที่ดินทำกินได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ และได้มีการจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา จำกัด ปัจจุบันมีสมาชิก 697 ครัวเรือน ทุนดำเนินการประมาณ 6 ล้านบาท เน้นส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ บนพื้นที่ 400 ไร่ สามารถให้ผลผลิตได้ประมาณ 300 ตัน เป็นมูลค่า 12 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการสกรณ์ที่มีผลสำเร็จเชิงประจักษ์และเป็นแบบอย่างแก่กลุ่มสหกรณ์อื่น