

- เอื้อประโยชน์ให้แก่คนแพ้การประมูล
- ระบุพฤติการณ์ EW ไม่ยอมรับสภาพ
- ยื้อ 7 เดือนดึงดันไม่ทำสัญญา“ผู้ชนะ”
“วงษ์สยามก่อสร้าง” ร่อนหนังสือถึงรมช.คลัง ขอความเป็นธรรมในโครง การบริหาร และดำเนินกิจการระบบท่อขนส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท หลังถูก อีสท์วอเตอร์ และ คณะกรรมการที่ราชพัสดุ ดึงเรื่องไว้นาน 7 เดือน ไม่ยอมให้กรมธนารักษ์ทำสัญญากับบริษัท ระบุมีพฤติการณ์แพ้แล้วไม่ยอมรับสภาพ ทำลายธรรมาภิบาลในองค์กร และผลประโยชน์รัฐพึงได้
นายอนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ทำหนังสือร้องเรียน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.กระทรวงการคลัง และรักษาการเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)อ้างถึง กรณีที่กรมธนารักษ์ประกาศผลการตัดสินให้บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง เป็นเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าบริหาร และดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม

ทั้งนี้ วงษ์สยามก่อสร้าง ได้เข้าประมูลโครงการนี้ตามประกาศเชิญชวนของกรมธนารักษ์ และผ่านกระบวนการคัดเลือกจนเสร็จส้ินตั้งแต่เมื่อก.ย.ปี 2564 แล้ว แต่เนื่องจากมีความพยายามจากผู้รับสัมปทานเดิมคือ บริษัท จัดการ และพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด(มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ (East Water : EW) กล่าวหาว่า การประมูลดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฏหมายหลายประ การ
ทั้งยังมีการนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลมีคำส่ังเพิกถอนการประมูลโครงการนี้ โดยอ้างถึงเหตุผลต่างๆมากมาย เช่น คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเข้าดำเนินงานในโครงการนี้ ไม่ให้โอกาสในการสู้ราคา การประมูล นี้ทำให้ขาดรายได้ และอื่นๆเป็นต้น
ศาลปกครองชี้ไม่มีเหตุล้มประมูล
กรณีดังกล่าว ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเป็นที่ยุติแล้วว่า ไม่มีเหตุอันควรให้เพิกถอนการประมูล ขณะเดียวกันการเรียกร้องค่าเสียหายที่ EW อ้างว่า การประมูลครั้งนี้กระทบต่อรายได้ หรือทำให้ EW ขาดรายได้ไปนั้น ศาลปก ครองกลางได้พิจารณาแล้วว่า EW ไม่ได้รับผลกระทบใดๆเนื่องจากที่ผ่านมา จน ถึงปัจจุบัน EW ยังคงเป็นผู้บริหาร และดำเนินกิจการส่งน้ำตามท่อให้กับลูกค้าในภาคตะวันออกอยู่
กล่าวโดยสรุป กรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของพื้นที่ในโครงการจัดหาเอกชนเพื่อจัดการ และดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำในภาคตะวันออก มีสิทธิประกาศเชิญชวน และคัดเลือกเอกชนเข้าดำเนินงานในโครงการแทน EW บริษัทเดิมที่กำลังจะหมดสัญญา ในขณะที่ วงษ์สยามก่อสร้าง เป็นผู้ชนะการประมูลโดยสุจริต และการประมูลงานดังกล่าว ก็มีการสู้ราคากันโดยชอบธรรมตามกระบวนการทางกฏ หมาย ไม่มีเหตุอันควรให้เชื่อว่า การประมูลนี้ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ไม่ได้ตัดสิทธิ EW หรือทำให้ EW เกิดความเสียหาย

อีสท์ วอเตอร์ ไม่ยอมรับ“แพ้”
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการที่ราชพัสดุเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2565 เพื่อให้ความเห็นชอบในการทำสัญญากับวงษ์สยามก่อสร้าง คณะกรรม การเสียงข้างมาก กลับตัดสินให้ชะลอการนำเสนอให้กรมธนารักษ์ลงนามในสัญ ญากับบริษัทออกไป โดยให้รอคำพิพากษาสุดท้ายของศาลปกครองกลางก่อน
ในหนังสือร้องเรียนของนายอนุฤทธิ์ ระบุด้วยว่า วงษ์สยามก่อสร้าง มีสถา นะเป็นผู้ชนะการประมูลตามหลักเกณท์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมธนารักษ์กำหนด พร้อมผ่านกระบวนการต่อรองสัญญาการจัดทำเพื่อตรวจพิจารณาจนเป็นที่ยอมรับ จากสำนักงานอัยการสูงสุด กระท่ังถึงขั้นตอนการลงนามในสัญญาร่วมทุนตามหลักเกณท์ที่กฏหมายกำหนดแล้ว
แต่กระบวนการเหล่านี้กลับต้องเลื่อนออกไปอีกจากการฟ้องคดีของ EW ที่ให้ศาลปกครองกลางมีคำส่ังยกเลิกกระบวนการคัดเลือก นี่ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า นอกจากเป็นการกระทำที่ไม่ชอบแล้ว ยังเป็นพฤติการณ์ที่ไม่ยอมรับกติกาของสังคม หรือนัยหน่ึง แพ้แล้วไม่ยอมรับสภาพว่า แพ้
คณะกรรมการที่ราชพัสดุดึงเรื่อง
ทั้งนี้หากมีการยอมรับพฤติการณ์ของ EW ตามที่คณะกรรมการเสียงข้างมากที่ราชพัสดุ ลงมติให้รอคำพิพากษาสุดท้ายของศาลปกครองกลางก่อนนั้น ย่อมถือเป็นการทำลายระบบธรรมาภิบาลในองค์กร ทำลายกฏเกณท์ของสังคม และ ตัวบทกฏหมาย
ทั้งยังเป็นต้นแบบให้ผู้แพ้การประมูลท่ัวราชอาณาจักรไทยสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการฟ้องคดีบังคับให้ประมูลกันใหม่ โดยไม่รู้จบส้ิน ซึ่งเชื่อว่าไม่ มีหน่วยงานใดของรัฐยอมรับได้ และคงไม่มีพนักงานเจ้าหน้าที่คนใดกล้าที่จะปฏิ บัติตาม
หนังสือร้องเรียนของนายอนุฤทธิ์ ชี้แจงเพิ่มเติมด้วยว่า คำสั่งศาลปกครองที่ยกคำขอทุเลาการบังคับตามที่ EW ร้องขอนั้น ตามพรบ.จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดี ในศาลปกครอง ประกอบระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดข้อ 76 บัญญัติ ให้เป็นที่สุด คู่กรณีไม่อาจอุทธรณ์คำส่ังดังกล่าวได้ โดยศาลปกครองกลางได้วินิจ ฉัย และมีคำส่ังเมื่อวันที่ 12 พ.ย.2564 ก่อนวันนัดประชุมคณะกรรมการที่ราชพัสดุเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบสัญญาโครงการที่ วงษ์สยามก่อสร้าง ชนะประ มูลเป็นเวลา 3 เดือนโดยคำส่ังดังกล่าวนี้ได้แจ้งระบุความเป็นที่สุดไว้ในหมายเหตุ ข้อ 2 ด้านหลังหมายแจ้งคำส่ังด้วย

จงใจละเว้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ดังนั้น คณะกรรมการที่ราชพัสดุย่อมไม่อาจปฏิเสธความรู้เห็นในผลแห่งคดีนี้เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องที่เสนอเพื่อพิจารณา การที่คณะกรรมการเสียงข้างมากลงมติให้รอฟังผลคำพิพากษาศาลปกครองกลางเสียก่อน โดยไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะถึงที่สุดเมื่อใดนั้น นอกจากเป็นการกระทำที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่แล้ว
ยังเป็นพฤติการณ์ที่แสดงถึงการฝ่าฝืน หรือจงใจละเว้นไม่ปฏิบัติตามคำส่ังอันเป็นที่สุดของศาลปกครองกลาง และเป็นพฤติการณ์อันควรครหาได้ว่าเป็นการประวิงเวลาในการปฏิบัติการให้เป็นไปตามประกาศของกรมธนารักษ์ที่เชิญชวนเอกชนเข้าประมูลงาน(ฉบับวันที่ 10 ก.ย.2564)อย่างไม่รู้กำหนดสิ้นสุด
กรณีดังกล่าวทำให้เล็งเห็นผลแห่งเจตนาได้ว่าประสงค์จะให้ประโยชน์ หรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้แพ้ประมูลในอันที่จะครอบครอง ใช้ประโยชน์ทรัพย์สินของรัฐต่อไปเรื่อยๆไม่มีกำหนด โดยจ่ายผลประโยชน์ต่ำกว่าที่รัฐพึงจะได้รับ
ยื้อไม่ยอมทำสัญญา“วงษ์สยาม”
ถือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิด และเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อผลประ โยชน์ที่รัฐพึงจะได้รับ และเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ วงษ์สยามก่อสร้าง ผู้ชนะประมูลในอันที่จะเข้าลงนามในสัญญาโครงการบริหาร และดำเนินกิจการระ บบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกตามกำหนดเวลาที่กฏหมายบัญญัติไว้ และ เตรียมการับมอบทรัพย์สินโครงการที่ประมูลได้ตามสิทธิที่มีอยู่ตามกระ บวนการคัดเลือก และสิทธิที่กฏหมายกำหนด
ที่สำคัญ ยังเป็นผลให้รัฐต้องขาดรายได้จากการรับเงินทันทีเมื่อลงนามในสัญญาจำนวน 624 ล้านบาท ทั้งยังทำให้หน่วยงานของรัฐเกิดความรับผิดใน
การชดใช้ค่าเสียหายในเหตุล่าช้าต่อผู้ชนะประมูล ตลอดจนก่อให้เกิดความรับผิดชอบทางอาญา และทางแพ่งแก่คณะกรรมการที่ราชพัสดุอีกโสดหน่ึงด้วย
อาศัยเหตุดังที่ได้แจ้งข้างต้น วงษ์สยามก่อสร้าง จึงขอความกรุณาจากนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.กระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการที่ราชพัสดุ พิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่บริษัทซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลตามกฏเกณท์ และเงื่อนไขของรัฐอย่างถูกต้องชอบธรรม
ทั้งนี้เพื่อรักษากติกาของสังคม และ เพื่อประโยชน์สูงสุดของหน่วยงานของรัฐ ทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทอันอาจเกิดแก่หน่าวยงานของรัฐ และคณะกรรมการที่ราชพัสดุซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ บริษัทได้ทราบข่าวสารจากสื่อสานสนเทศว่ามีกรรมการบางท่ายนให้ข่าวต่อสื่อว่า ลงมติโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง และประสงค์จะลงมติใหม่ ประกอบกับบริษัทได้ร้องขอให้คณะกรรมการนัดประชุมเพื่อทบทวนมติเดิมอีกครั้ง ซึ่งหากเห็นว่าการลงมติดังกล่าวเป็นไปโดยหลงผิด และเห็นควรทบทวนมติ ขอได้โปรดทำบันทึกแจ้งต่อเลขานุการคณะกรรมการเพื่อยืนยัน ประกอบการนัดประชุมกรรมการอีกครั้ง