ระวัง!โควิด-19 พาคนไทยจมลึกเพิ่มจำนวนคนยากจน



  • ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 33% สวนทางรายได้ลดลง54%
  • หนี้ครัวเรือนพุ่ง 13.59 ล้านล้านบาท หรือ 83.8%ของจีดีพี
  • ท้าทายภาครัฐและสถาบันการเงินหาทางแก้ไข

น.ส.จินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.หรือสภาพัฒน์) เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ว่า ผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ต่อความยากจนคนไทย ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ได้มีการสำรวจพบว่า ค่าใช้จ่ายของคนส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น 33% สวนทางกับรายได้ที่ลดลงมากถึง 54% สิ่งที่ตามมาทำให้มีหนี้สินเพิ่มขึ้นโดยเป็นหนี้ในระบบ 14% และอีก 9% เป็นหนี้นอกระบบ ขณะที่สถานการณ์หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 2 ปี2563 มีมูลค่า 13.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% คิดเป็น 83.8%ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)เป็นผลจากการหดตัวเศรษฐกิจรุนแรง สะท้อนความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงทางรายได้และการมีงานทำจากวิกฤติทางเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของโควิด-19


“ตอนนี้ต้องเฝ้าระวังปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างใกล้ชิด ณ สิ้นไตรมาสสองพบหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล ของธนาคารพาณิชย์มีมูลค่า 152,501 ล้านบาท ขยายตัว 19.7% มีสัดส่วน 3.12% ต่อสินเชื่อรวม ขณะที่แนวโน้มหนี้ครัวเรือนไตรมาสสาม คาดว่า ความต้องการสินเชื่อมีแนวดน้มเพิ่มขึ้น และหนี้เอ็นพีแอลก็มีแนวโน้มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวและสัญญาณการฟื้นตัวที่ยังไม่ชัดเจน ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตอกย้ำถึงความเปราะบางทางการเงินและปัญหาเชิงโครงสร้างครัวเรือนไทย จากการขาดหลักประกันและภูมิคุ้มกันในการรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้ภาครับและสถาบันการเงินจะมีมาตรการรช่วยเหลือลูกหนี้ แต่เมื่อระยะเวลาช่วยเหลือสิ้นสุดลงและเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว จะเสี่ยงเกิดหนี้เสียจำนวนมาก และครัวเรือนจะก่อหนี้นอกระบบมากขึ้น จึงเป็นความท้าทายของภาครัฐและสถาบันการเงินในการออกแบบนโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในสภาวะความไม่แน่นอนที่สูง”


รองเลขาธิการ สศช. กล่าวว่า จากการสำรวจคนจนเมืองในภาวะวิกฤตโควิด-19 ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พบว่า คนจนเมืองกว่า 60% รายได้ลดลงเกือบทั้งหมด ส่วนอีก 31% รายได้ลดลงครึ่งหนึ่ง โดยคนจนเมืองต้องพึ่งความช่วยเหลือจากภาครัฐและภาคเอกชนที่แจกจ่าย อาหารและของอุปโภคและมีอีกจำนวนมากยังต้องกู้หนี้ยืมสินหรือนำของใช้ในบ้านไปจำนำเพื่อหาเงินมาประทังชีวิตด้วย สิ่งที่ต้องระวังต่อจากนี้ คือ กลุ่มครัวเรือนเปราะบาง ซึ่งเสี่ยงต่อการตกเป็นครัวเรือนยากจนจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 โดยมี จำนวนครัวเรือนประมาณ 1.14 ล้านครัวเรือน ซึ่งครัวเรือนเปราะบางนี้เป็นครัวเรือนที่ไม่ใช่ครัวเรือนยากจน แต่มีสถานะความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับครัวเรือนยากจนมาก โดยจำเป็นต้องมีมาตรการเข้าไปรองรับ เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเร่งด่วน


“ผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชน และยังพบว่าอัตราการว่างงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่เดิมยากจนอยู่แล้ว และครัวเรือน กลุ่มที่อ่อนไหวต่อปัจจัยกระทบและอาจตกเป็นครัวเรือนยากจน ซึ่งปัจจุบันมีคนยากจนอยู่ 4.3 ล้านคน หรือ 1.31 ล้านครัวเรือน”


ส่วนอัตราการว่างงาน ไตรมาสที่ 3 มีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 740,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานเท่ากับ 1.9% ใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว ที่มีอัตรา 1.95% ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรง โดยแรงงานอายุน้อยและการศึกษาสูงมีปัญหาการว่างงานมากกว่าคนกลุ่มอื่น เพราะการศึกษาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน