กรมควบคุมโรค ลั่นไม่มีนโยบายให้ผู้ติดเชื้ออยู่บ้าน ย้ำจัดระบบ รพ.รองรับได้



  • ขอความร่วมือผู้เดินทางช่วงนี้ ตรวจสอบประวัติเสี่ยงของตัวเอง
  • หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ให้ไปตรวจที่สถานพยาบาลรัฐใกล้บ้าน ไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • เผยให้ผู้เดินทางเช็ค หลายจังหวัดมีประกาศให้คนเดินทางจากพื้นที่เสี่ยงกักตัว

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ช่วงสงกรานต์ที่มีการเดินทางกลับบ้าน ขอความร่วมมือตรวจสอบประวัติเสี่ยงของตัวเอง หากเป็นนักเที่ยวมีประวัติไปสถานบันเทิง มีไข้ ไอเจ็บคอ มีน้ำมูก ให้ไปตรวจที่สถานพยาบาลรัฐใกล้บ้าน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนโรงพยาบาลเอกชนถ้าอยู่ร่วมโครงการของ สปสช.ก็ตรวจฟรี ซึ่งรัฐบาลให้งบสนับสนุนไป 3,000 ล้านบาท โดยงบถือว่าเพียงพอ 

ทั้งนี้สำหรับการเดินทางไปพบผู้สูงอายุที่เสี่ยงติดเชื้ออาการรุนแรง ขอให้ใส่หน้ากากทุกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ สิ่งที่จะช่วยประเทศให้ผ่าาพ้นโควิด-19 ขณะนี้คือ การลดกิจกรรมที่เสี่ยงติดเชื้อ ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ใส่หน้ากากเวลาคุยกับคนอื่น อย่ากินอาหารร่วมกับคนหมู่มาก

โดยหากจำเป็นต้องเดินทางข้ามจังหวัด ขอให้ตรวจสอบมาตรการจังหวัดปลายทาง เพราะแม้ ศบค.จะไม่ห้ามการเดินทาง ไม่ต้องกักตัว แต่จังหวัดสามารถออกมาตรการเข้มกว่าได้ เพราะสถานการณ์แต่ละจังหวัดไม่เหมือนกัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อ และทรัพยากรดูแลการระบาดไม่เหมือนกัน จากการตรวจสอบกับเว็บไซต์กระทรวงมหาดไทย หลายจังหวัดมีประกาศให้คนเดินทางจากพื้นที่เสี่ยงกักตัว 29 จังหวัด อันประกอบด้วยจังหวัดกำแพงเพชร เชียงใหม่ ตาก น่านพะเยา เพชรบูรณ์ ลำพูน อุทัยธานี ชัยภูมิ นครพนม บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร เลย สกลนครหนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ ชัยนาท สระบุรี ชุมพร ตรัง นราธิวาส ปัตตานี พังงา และสงขลา 

“ก่อนเดินทางไปจังหวัดไหนตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดอีกครั้ง เพราะการออกคำสั่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ และย้ำว่าการเดินทางขอให้ใส่หน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชน และเน้นมาตรการเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และขอความร่วมมือช่วยกันลดการระบาดโรคในวงกว้าง โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ ตอนนี้ปิดผับบาร์คาราโอเกะเยอะแล้ว ขอให้หลีกเลี่ยงจุดเสี่ยง มีสถานที่แออัด ระบบระบายอากาศไม่ดี คนยัดเยียดข้างใน ไม่มีการใส่หน้ากากอนามัย มีการดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าไม่จำเป็นอย่าไป จะปลอดภัยทั้งตัวเองครอบครัว ชุมชนและประเทศไทย” นพ.โอภาสกล่าว

ทั้งนี้เมื่อถามถึงกรณี ไปตรวจโรงพยาบาลเอกชน แจ้งว่าเตียงเต็ม ให้ไปกักตัวเองที่บ้าน 14 วัน นพ.โอภาส กล่าวว่าประเทศไทยมีนโยบายว่าผู้ติดเชื้อในไทยทุกคนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไม่เอาอย่างต่างประเทศที่ติดเชื้อให้ไปกักตัวที่บ้าน แต่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งมีการตรวจเยอะ ผู้ติดเชื้อมาก โรงพยาบาลไม่ใหญ่ก็เจอปัญหาเตียงเต็ม โดยจากการหารือวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา ชัดเจนว่าจะมีระบบส่งต่อใน โรงพยาบาลเอกชนด้วยกัน หากส่งต่อไม่ได้ให้โทร.ไปยังศูนย์ส่งต่อกรมการแพทย์ 1668 เป็นจุดรับจัดการส่งต่อระหว่างโรงพยาบากับโรงพยาบาล

“ผู้ป่วยส่วนใหญ่ระลอกนี้อาการน้อย จึงจะใช้ระบบเหมือนครั้งก่อน โดยปรับระบบโรงแรมเป็นกึ่งโรงพยาบาล คือHospitel มีความสะดวกสบายระดับหนึ่ง มีระบบดูแลการแพทย์และสาธารณสุข หากอาการรุนแรงขึ้นมีการส่งต่อ ตอนนี้มีหลายพันห้องรองรับได้ ถ้าผู้ป่วยมากจริงๆ ก็มีการจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามใน กทม.ขึ้น แต่ผู้ป่วยขณะนี้ยังรองรับได้ ถ้าจำเป็นจะจัดตั้งโรงพยายาลสนามเพิ่มเติม อย่างมหาชัยที่เคยตั้งโรงพยาบาลสนาม ก็ดูแลผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย้ำว่าผู้ติดเชื้อไม่มีนโยบายให้อยู่ที่บ้าน” นพ.โอภาสกล่าว