ดาวโจนส์ปิดบวก 63 จุด ผลประกอบการบริษัทที่ออกมาดีหนุน

  • มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นผลประกอบการดี ดันดัชนีดาวโจนส์ปิดบวด
  • นักลงทุนขายหุ้นบางส่วนลดความเสี่ยง หลังประธานเฟดส่งสัญญาณตรึงดอกเบี้ยสูง
  • ตลาดยังคงประเมินภาวะเศรษฐกิจ-ดอกเบี้ย เพื่อหาทิศทางลงทุน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 16 เม.ย.ที่ 37,798.97 จุด เพิ่มขึ้น 63.86 จุด หรือ +0.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,051.41 จุด ลดลง 10.41 จุด หรือ -0.21% ส่วนดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 15,865.25 จุด ลดลง 19.77 จุด หรือ -0.12%

นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้

นายพาวเวลได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตันเมื่อวานนี้ว่า “ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อนั้น แม้ว่าจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เฟดมีความมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ด้วยเหตุนี้ เฟดจึงจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น”

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นทันทีหลังจากนายพาวเวลส่งสัญญาณตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีซึ่งมีความอ่อนไหวต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยเฟด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 5% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีทะยานขึ้นแตะระดับ 4.657% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. 2566

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 14.7% สู่ระดับ 1.321 ล้านยูนิตในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.487 ล้านยูนิต และถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563

“นักลงทุนพยายามหาความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งขณะนี้อยู่ในทิศทางที่ดี และในขณะเดียวกันก็ประเมินภาพรวมของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วปัจจัยอย่างหลังนี้ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด”

ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภค ร่วงลง 1.53% และ 1.36% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น 0.23%

หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) ซึ่งเป็นบริษัทด้านสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 7.16 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.61 ดอลลาร์

หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1/2567 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจวาณิชธนกิจ ส่วนหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 3.5% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรลดลงไตรมาส 1/2567 หลังจากธนาคารเพิ่มเงินกันสำรองหนี้สูญ

หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ร่วงลง 2.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1/2567 อันเนื่องมาจากการชะลอตัวลงของยอดขายยา “Stelara” ซึ่งเป็นยารักษาโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis)