นายกฯ ยืนยัน ไตรมาส 4 เศรษฐกิจดีขึ้นมากแน่นอน

เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ยืนยัน ไตรมาส 4 เศรษฐกิจ ดีขึ้นมากแน่นอน
เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ยืนยัน ไตรมาส 4 เศรษฐกิจ ดีขึ้นมากแน่นอน


นายกฯ ยัน ไตรมาส 4 เศรษฐกิจ ดีขึ้นมากแน่นอน เตรียมออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจ ใน ไตรมาส สาม

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4(ตุลาคม-ธันวาคม) ดีขึ้นแน่นอน ดีขึ้นมาก และตอนนี้กำลังพิจารณาไตรมาส 3(กรกฎาคม-กันยายน)ว่าทำอย่างไรที่จะให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย เพราะตอนนี้เงินงบประมาณก็เริ่มผันจ่ายออกไปได้บ้างแล้ว

“บ่ายวันนี้คงมีการพูดคุยกับหน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องถึงเรื่องปัญหา ว่าจะมีหรือไม่หากมีการผันเงินงบประมาณออกไปให้ได้เร็วที่สุด”

ต่อข้อซักถามว่า เมื่อถามอีกว่าเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าอีก 1-2 สัปดาห์จะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาอีกนายกฯ กล่าวว่า “กำลังดูอยู่ ซึ่งเป็นเรื่อง สืบเนื่องมาจากมีการประชุมคณะทำงาน ที่เกี่ยวกับเรื่อง เศรษฐกิจก็จะดูว่าเศรษฐกิจมีปัญหาอะไร และเราจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร เส้นทางกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังทำอยู่”

สามกรมฯรายงานเรื่องการจัดเก็บรายได้

นอกจากนี้นายกฯกล่าวถึงกรณีกระทรวงการคลังเตรียมเข้าพบบ่ายนี้ว่าวันนี้จะมีการประชุมเรื่องการจัดเก็บ ของทั้ง 3 กรมคือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตร และกรมศุลกากร เพื่อดูเรื่องการจัดเก็บรายได้ ตรงไหนที่สามารถทำได้อีกหรือหรือตรงส่วนไหนที่เราสามารถเร่งทำ ก็จะทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้นก็จะทำ โดยในการประชุมปลัดกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีกระทรวงการคลังก็จะมาร่วมประชุมด้วย

สำหรับคำถามที่ว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวมรายได้ของเราจะเพียงพอไม่จำเป็นต้องมีการกู้แล้วใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ขณะนี้ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนงานอยู่ แต่ว่า ตอนนี้ครึ่งปีแล้ว ก็ต้องมานั่งดูว่าตรงไหน ที่จะต้องมีการลดหรือเพิ่ม โดยจะต้องดูเรื่องการบริหารจัดการรายจ่ายให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษี ที่ให้นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเราต้องมาดูว่าตรงไหนที่จะทำอะไรได้บ้าง เพราะเรื่องรายได้เป็นเรื่องสำคัญ

ทำเนียบรัฐบาล

ข้อมูลประกอบ จากข่าว : ธปท. คาดไตรมาส 2 ส่งออก-เบิกจ่ายภาครัฐ-ท่องเที่ยว ช่วยหนุนเศรษฐกิจ

วันที่ 1 มิ.ย.2567 นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจและการเงิน ประจำเดือนเมษายน 2567 เศรษฐกิจไทยในภาพรวมปรับดีขึ้นจากเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ตามภาคบริการที่ขยายตัว 

สอดคล้องกับรายรับภาคการท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น หลังเทศกาลถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอนสิ้นสุดลง

โดยเห็นอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น หลังจากลดลงในเดือนก่อน โดยแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยว ยังคงเห็นอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงส่งสำคัญ รวมถึงการบริโภคของภาคเอกชน ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

โดยระยะข้างหน้ามีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ อาทิ การเบิกจ่ายของรัฐบาลที่จะกลับมาใช้ได้แล้ว รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่อาจมีมากขึ้นในอนาคต อีกตัวที่สำคัญคือ การฟื้นตัวของการส่งออกและภาคการผลิต ที่โลกเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น แต่ผลดีกับการส่งออกของไทยจะมากน้อยเท่าเท่าใด ก็ยังเป็นคำถามอยู่

นายสักกะภพ กล่าวต่อ ว่า เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้ว เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในทุกหมวดหลัก หลังชะลอลงในช่วงก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายหมวดบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามภาคการท่องเที่ยว ด้านหมวดสินค้าไม่คงทนปรับเพิ่มขึ้น ตามยอดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค

สำหรับหมวดสินค้าคงทนปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่ง จากการส่งมอบรถยนต์ที่สั่งจองในงานจัดแสดงรถยนต์ (มอเตอร์โชว์) แต่ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลในประเด็นเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในประเทศ

ด้านการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้นในหลายหมวดสินค้า สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายภาครัฐยังคงหดตัวจากรายจ่ายของรัฐบาลกลางตาม พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า ส่วนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวสูงตามการเร่งเบิกจ่ายในโครงการลงทุนด้านสาธารณูปโภคเป็นสำคัญ

โดยการส่งออกที่กลับมาเป็นบวกไม่ได้สร้างความแปลกใจมากนัก เพราะความจริงภาพใหญ่ไม่ได้มองว่าดีมากนัก เป็นผลจากฐานต่ำ และโครงสร้างบางอุตสาหกรรมที่มีถูกฉุดรั้งการเติบโตด้วย โดยทั้งปี 2567 มองการส่งออกโตประมาณ 2% เท่านั้น ถือว่าไม่ได้สูงออกไปทางระดับกลางถึงต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดรวมด้วย

“เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาเป็นบวกที่ 0.19% จากหมวดอาหารสดตามราคาผักและเนื้อสุกร รวมถึงจากหมวดพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลจากผลของมาตรการลดภาษีสรรพสามิตที่สิ้นสุดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวเท่าเดือนก่อน

โดยกรอบเงินเฟ้อของแบงก์ชาติ มีชัดเจนทุกปีอยู่แล้ว ถือเป็นเรื่องที่มีการติดตามต่อเนื่อง มีกระบวนการจัดทำร่วมกับกระทรวงการคลัง เป็นไทม์ไลน์ที่ชัดเจน โดยการปรับตัวต่ำลงของเงินเฟ้อ ต้องบอกว่าแบงก์ชาติพยายามบอกอยู่แล้วว่า เงินเฟ้อคงเห็นติดลบในช่วงที่ผ่านมา

ซึ่งจากการแถลงคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุด มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเดือนเมษายน ก็กลับมาเป็นบวกแล้ว จึงคาดว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้ากรอบล่างของกรอบเงินเฟ้อ จากทั้งปี 2567 ที่มองไว้ระดับ 0.6%”

ทั้งนี้ การปรับตัวของเงินเฟ้อ จะบอกว่าแบงก์ชาติไม่กังวลก็คงไม่ถูก แต่เราจับตามองใกล้ชิด ซึ่งก็เห็นว่ายังอยู่ในกรอบที่วางไว้อยู่ ส่วนการเติบโตของจีดีพีไทย ไตรมาส 1/2567 ที่ออกมาโต 1.5% จากแบงก์ชาติคาดไว้ว่าจะโตเพียง 1% ซึ่งถือว่าโตได้สูงกว่าคาดไว้ จุดตั้งต้นของปีจึงดีกว่าคาด

จากที่ลุ้นว่าตัวเลขไตรมาส 1 จะออกมาอย่างไร ซึ่งต้องรลุ้นพัฒนาการของไตรมาส 2/2567 ต่อ หลังจากตัวเลขหลายตัวเริ่มกลับมาเป็นบวกแล้ว เราอยากเห็นว่าตัวเลขการกลับมาเป็นบวกจะยั่งยืนได้มากน้อยเท่าใด

นอกจากนี้ มาตรการการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือ LTV (Loan-to-Value ratio) เพื่อช่วยในด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น จากที่หารือกันมาเยอะแล้วนั้น ต้องบอกว่าแอลทีวี ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะการซื้อบ้านหลังแรก ยอมให้กู้ซื้อด้วยมาตรการที่มีความผ่อนคลายมากแล้ว 

ถือเป็นมาตรการส่งเสริมด้วยซ้ำ หากราคาบ้านไม่เกิน 10 ล้านบาท กู้ได้อยู่ที่ 90% ไม่เกิน ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำมากเทียบกับประเทศอื่น ทำให้ภายใต้ภาวะปัจจุบัน เงื่อนไขมาตรการแอลทีวียังคงเหมาะสมอยู่