ดร.สุวิทย์ แนะ นายกฯคนใหม่ ใช้ความกล้า ปลดล๊อคประเทศ 3 วาระวิกฤต

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 31


“สุวิทย์เมษินทรีย์” ชี้เวลานี้ประเทศไทย ต้องการ นายกฯคนใหม่ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับพลวัตโลก เผยโจทย์ที่ท้าทาย ของว่าที่ นายกฯคนใหม่คือจะพลิกฟื้น และขับเคลื่อนประเทศอย่างไรลั่นตอนนี้ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับฝันเล็กๆของการเป็นผู้นำประเทศในชั่วโมงนี้

  • ชี้ประเทศไทยอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว แนะนายกฯ คนใหม่ ต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมือง “ปลดล๊อค” ประเทศไทย ผ่าน 3 วาระวิกฤต
  • ลดทอนความขัดแย้ง เปลี่ยนจากการเผชิญหน้า เป็นการหันหน้าเข้าหากัน
  • ทำกระบวนการยุติธรรมให้ยุติธรรม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
  • ไม่ประนีประนอมกับคอร์รัปชัน ที่มีอยู่ดาษดื่นทุกหย่อมหญ้า
  • ลั่นหากทำ 3 วาระนี้สำเร็จ วาระการขับเคลื่อนประเทศอื่นๆ ทั้งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การขจัดความยากจน การพัฒนาคน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ส.ค.67) นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้โพสต์ข้อความ พร้อมภาพ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก : ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์Dr.Suvit Maesincee โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

“ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับฝันเล็กๆ” ของการเป็นผู้นำประเทศในชั่วโมงนี้

ประเทศต่างๆ ในโลกศตวรรษที่ 21 มิได้ถูกนิยามโดยแนวคิด หรือระบอบการปกครองอีกต่อไป แต่จะถูกนิยามโดยภาพลักษณ์ที่ประชาคมโลก มีต่อประเทศนั้นๆ

เราจึงต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เราคือใคร อะไรที่ทำให้ประเทศมีอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ มีขีดความสามารถในการแข่งขัน มีอำนาจต่อรอง มีศักดิ์ศรี และอยู่ในจอเรดาร์โลก อาจกล่าวได้ว่า นี่คือ “ศตวรรษแห่งการค้นหาตัวเอง” ของแต่ละประเทศ

ประเทศไทย จึงต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า เตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับพลวัตโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสี่ยง ภัยคุกคาม และวิกฤตในหลากหลายรูปแบบ

เปิดวิสัยทัศน์นายกฯ ในยุคที่ผ่านมา

ผู้นำประเทศหลายต่อหลายท่านในอดีต ก็มีวิสัยทัศน์ที่สอดรับกับเงื่อนไข โอกาส ข้อจำกัด และบริบทของสังคมไทยและพลวัตโลก ที่เปลี่ยนแปลงไป ณ ขณะนั้น

“ยุคโชติช่วงชัชวาล” ในสมัยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวอย่างที่ดี ในห้วงเวลาดังกล่าว โลกต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงาน โชคดีที่ประเทศไทย มีการขุดพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ นำไปสู่การพัฒนา Eastern Seaboard พัฒนาพื้นที่มาบตาพุด อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฯลฯ นี่คือวิสัยทัศน์ของผู้นำ ที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้กับประเทศไทย อย่างเป็นรูปธรรม

ในยุคต่อมา เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองในภูมิภาคอินโดจีน พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ จึงใช้โอกาสนี้ประกาศวิสัยทัศน์ “เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า” ซึ่งเป็นความเฉลียวฉลาดในการใช้ Soft Power กับประเทศเพื่อนบ้าน ในลักษณะ win-win

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เผยผังการวางวิสัยทัศน์ ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ในแต่ละยุคสมัย

– ในมิติทางเศรษฐกิจ ทำให้เราสามารถขยายฐานการผลิต และตลาดที่แผ่กว้างออกไป ในอินโดจีน และอาเซียนได้

– ในมิติทางการเมือง เป็นการตอกตะปูฝาโลงให้กับ “ทฤษฎีโดมิโน” ที่ว่า ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จะลามสู่ประเทศไทย

ในยุคต่อมา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้แสดงวิสัยทัศน์ของการเป็น “เสือตัวที่ห้าของเอเชีย” แต่ในที่สุด ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะสะดุดขาตัวเอง จากการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่ผิดพลาด จนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในที่สุด

มาสู่ยุคของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่ได้วาดฝัน “โมเดลประเทศไทยในโลกที่หนึ่ง” ไว้ 7 ประการ ประกอบด้วย

1. มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ และวัฒนธรรมของตน

2. มีบทบาทสำคัญในเวทีระดับภูมิภาค และระดับโลก

3. มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง

4. เป็นผู้นำโลกในบางอุตสาหกรรม

5. เป็นสังคมที่เต็มเปี่ยมด้วย ความสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการเรียนรู้

6. มีผู้ประกอบการที่แข็งแกร่ง สามารถแข่งขันในเวทีโลก

7. เป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่ดี

น่าเสียดายที่ยังไม่ทันสานฝัน รัฐบาลทักษิณก็ถูกปฏิวัติรัฐประหาร

และเมื่อไม่นานมานี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ผลักดัน Thailand 4.0- วิสัยทัศน์ที่มุ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ และสังคมไทยให้สอดรับกับพลวัตโลก โดยเน้นการเติบโตเชิงคุณภาพ การสร้างกลไกเศรษฐกิจที่เน้นความสมดุล ความยั่งยืน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

หนึ่งในโมเดลเศรษฐกิจ ที่เป็นรูปธรรมภายใต้ Thailand 4.0 ก็คือ BCG Economy Model

จะเห็นได้ว่า ผู้นำประเทศในแต่ละยุคที่ผ่านมา มีวิสัยทัศน์ที่ทำให้พวกเราเกิดความเชื่อมั่น มีความหวัง มีกำลังใจ เกิดความฮึกเหิม เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้โพสต์ข้อความ พร้อมภาพ ฝากถึงนายกรัฐมนตรี คนที่ 31

ชี้โจทย์ท้าทาย นายกฯคนใหม่

เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 16 สิงหาคม 2567 สภาผู้แทนราษฏร ได้ลงมติเห็นชอบแต่งตั้ง น.ส. แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเห็นด้วย = 319 ไม่เห็นด้วย = 141 และงดออกเสียง = 27

โจทย์ที่ท้าทายของว่าที่นายกรัฐมนตรีท่านใหม่ คือ จะพลิกฟื้นและขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างไร ในท่ามกลางพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์โลกที่เชี่ยวกราก และต้องเผชิญกับความเสี่ยงในหลากหลายมิติ ภัยคุกคามไม่ตามแบบ และวิกฤตเชิงซ้อนที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง และไม่หยุดยั้ง

ประเทศไทยอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว ในฐานะผู้นำประเทศ ท่านต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมือง “ปลดล๊อค” ประเทศไทย ใน ”3 วาระวิกฤต“ (Critical Agenda)

1. ลดทอนความขัดแย้ง เปลี่ยนจากการเผชิญหน้าเป็นการหันหน้าเข้าหากัน ปลุกจิตสำนึกของความเป็นชาติ โดยยึดผลประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ

2. ทำกระบวนการยุติธรรมให้ยุติธรรม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ยึดมั่นในนิติรัฐ นิติธรรม

3. ไม่ประนีประนอมกับคอร์รัปชัน ที่มีอยู่ดาษดื่นทุกหย่อมหญ้า

3 วาระวิกฤตดังกล่าวเป็นการ “ซ่อม เสริม สร้าง” ฐานรากของประเทศ (National Foundation) ให้กลับมามั่นคงแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง

หากทำ 3 วาระวิกฤตนี้สำเร็จ วาระการขับเคลื่อนประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การขจัดความยากจน และความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาคน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ จะเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แม้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง

No Room for Small Dreams สำหรับการเป็นผู้นำประเทศในชั่วโมงนี้ครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ดร.สุวิทย์ ชี้กระบวนทัศน์การเมืองไทยเวลานี้ “สุดโต่ง”

ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr.Suvit Maesincee