“ดร.สุวิทย์” โพสต์ เทียบกระบวนทัศน์ทางการเมืองแบบ “สุดโต่ง” vs. “ทางสายกลาง” ชี้บริบทการเมืองไทย ไม่เอาความคิด อุดมการณ์ที่แตกต่าง มาผสมผสานกันให้เกิดความลงตัว ดร.สุวิทย์ แนะควรนำเอาคุณลักษณ์ที่ทั้งสองฝ่ายกล่าวอ้างมาผนวกกัน มาตกผลึก ทำให้เกิดความลงตัว ความพอดี
- ชี้การเมืองไทย ติดอยู่ในกับดักของ Zero Sum Game มีความคิดคับแคบอยู่เพียงเท่านี้
- ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง นำมาสู่สังคมสองขั้ว อย่างที่เผชิญในปัจจุบัน
- ลั่นกระบวนทัศน์ทางการเมืองไทยเปลี่ยนได้ด้วยพวกเรา หากขัดแย้งไม่จบไม่สิ้น ที่พังคือประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้โพสต์ข้อความ พร้อมภาพ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก : ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr.Suvit Maesincee โดยมีเนื้อหาระบุว่า…
กระบวนทัศน์ทางการเมืองแบบ “สุดโต่ง” vs. “ทางสายกลาง”
คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งสอนให้เราเดิน “ทางสายกลาง” ไม่สุดโต่ง ไม่มากไป ไม่น้อยไป
ในทำนองเดียวกัน เศรษฐกิจพอเพียงของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ก็สอนให้เราดำเนินชีวิตอยู่บนความพอดี ความพอประมาณ ความลงตัว และความสมดุล
….แปลกตรงที่ พวกเรากลับไม่เคยนำหลักคิดดีๆ ดังกล่าว มาปรับใช้ในบริบททางการเมือง
ในทำนองเดียวกัน คนไทยเป็นคนที่สามารถผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลาย เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน จากงานวิจัยรากเหง้าของวัฒนธรรมไทย ของอาจารย์ลิขิต ธีรเวคิน บ่งชี้ว่า คนไทยได้รับเอาความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาวัฒนธรรมอินเดีย วัฒนธรรมจีน และวัฒนธรรมตะวันตก มาผสมผสานและปรับใช้ กลายเป็นวัฒนธรรมไทยได้อย่างลงตัว
ในทำนองเดียวกับ เรื่องของอาหารการกิน คนไทยสามารถแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้กลายเป็นสิ่งใหม่ ที่แตกต่างไปจากเดิม และเผลอๆ อาจจะดีกว่าเดิม อย่างทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองจากโปรตุเกส สุกี้จากญี่ปุ่น หรือสปาจากเบลเยียม เป็นต้น
….แปลกตรงที่ ในบริบททางการเมือง เรากลับไม่เอาความคิดความอ่าน หรืออุดมการณ์ ทางการเมือง ที่แตกต่าง มาผสมผสานกัน ให้เกิดความลงตัว หรือสังเคราะห์ให้เกิดนวัตกรรมทางการเมืองที่สร้างสรรค์ กว่าที่เป็นอยู่เดิม
เราได้เห็นวิวาทะ ของการเมืองทั้งสองขั้ว ซึ่งต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง ถึงความเป็น “ประชาธิปไตย“ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่แต่ละฝ่าย กล่าวอ้างถึง เป็นเพียงคุณลักษณ์บางส่วน ของความเป็นประชาธิปไตย อาทิ
– จารีตนิยม กับ สมัยนิยม
– การรักษาสถานะเดิม กับ การขยับปรับเปลี่ยน
– คุณธรรม จริยธรรม กับ ความชอบธรรม ความเป็นธรรม
– เสรีภาพ กับ ความเท่าเทียม
– ความเป็นไทย กับ ความเป็นสากล
จะต้องนำเอาคุณลักษณ์ ที่ทั้งสองฝ่ายกล่าวอ้าง มาผนวกกัน มาตกผลึก ทำให้เกิดความลงตัว ความพอดี จึงจะเกิดเป็นภาพของประชาธิปไตย ที่สอดรับกับบริบท ของสังคมไทย ภายใต้พลวัตโลก
กระบวนทัศน์ทางการเมืองไทยปัจจุบัน เป็นกระบวนทัศน์แบบ “สุดโต่ง” ในลักษณะ I am OK, you are not OK และติดอยู่ในกับดักของ Zero Sum Game นั่นคือ ถ้า I Win, You Lose หรือไม่ก็ You Win, I Lose มีความคิดคับแคบอยู่เพียงเท่านี้ จึงก่อให้เกิดความขัดแย้ง ที่รุนแรง นำมาสู่สังคมสองขั้ว อย่างที่เผชิญอยู่ ในปัจจุบัน
เพื่อให้พวกเราหลุดพ้น จากวิกฤตทางการเมือง ที่กำลังลามเลีย มาสู่วิกฤตเศรษฐกิจ พวกเราต้องร่วมกัน เปลี่ยนกระบวนทัศน์แบบ ”สุดโต่ง“
สู่กระบวนทัศน์แบบ “ทางสายกลาง“ ในลักษณะ I am OK, you are OK และก้าวข้ามกับดักของ Zero Sum Game ไปสู่ Positive Sum Game นั่นคือ I Win, You Win, Thailand Win
กระบวนทัศน์ทางการเมืองไทยเปลี่ยนได้ ด้วยพวกเรา หากไม่รู้จักลดลาวาศอก ขัดแย้งกันไม่จบ ไม่สิ้น ที่จะพังคือประเทศครับ
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr.Suvit Maesincee
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : จับตา “ชัยเกษม นิติสิริ” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่