

นายกฯ มุ่งผลักดัน ไทย เป็น ศูนย์กลางทางการเงิน และการลงทุนจากต่างชาติ ล่าสุด BOI – HSBC ลงนาม MOU สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อ ไทย นายกฯ คาดการณ์มูลค่าเงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท ภายในปี 2567 นี้
พร้อมกันนี้ ผลการวิจัยของ HSBC Global Connections ระบุไทยเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่ธุรกิจระหว่างประเทศมองข้ามไม่ได้ และบริษัทที่ลงทุนในไทยแล้วมีแนวโน้มเพิ่มการลงทุนต่อเนื่องภายใน 2 ปีข้างหน้า

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงการผลักดันการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในไทย ซึ่งผลตอบรับจากการเยือนและหารือร่วมกับภาคธุรกิจต่างชาติมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
BOI และ HSBC จับมืออำนวยความสะดวกนักลงทุนต่างชาติ
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงกิ้งคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (HSBC) สาขาประเทศไทย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (BOI – HSBC Thailand MOU Signing Ceremony)
เพื่ออำนวยความสะดวก แก่นักลงทุนต่างชาติ ให้เข้าถึงการลงทุน และการขยายธุรกิจในไทย พร้อมผลักดันประเทศไทย สู่ศูนย์กลางการลงทุน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ดังกล่าว ทั้งสองฝ่าย จะทำงานร่วมกัน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อ ส่งเสริมการลงทุนในไทย
โดยธนาคาร HSBC จะเป็นสื่อกลาง ให้แก่ไทย ผ่านการใช้เครือข่ายลูกค้าธุรกิจ ระดับโลกที่มีใน 62 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ประกอบกับความเชี่ยวชาญ ในการสนับสนุนองค์กรข้ามชาติ ในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ โดยจะให้ข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับการลงทุนในประเทศไทย พร้อมใช้แพลตฟอร์ม ด้านการเงินดิจิทัล ของธนาคาร เพื่อ อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติ ที่สนใจลงทุน และขยายธุรกิจในไทย
จัดกิจกรรม Roadshow ในตลาดที่สำคัญ
โดยจะมีการจัดกิจกรรม Roadshow ในตลาดที่สำคัญทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น จีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย อาเซียน ยุโรป และสหราชอาณาจักร ซึ่งทาง BOI จะมุ่งเน้น 5 อุตสาหกรรมตามยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ดิจิทัล (Digital) อุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Industry) และพลังงานสะอาด (Clean Energy)
โดยนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 นายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้บริหารของ HSBC ในช่วงการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน และต่อเนื่องไปยังเดือนมกราคม 2567 นายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้บริหารของ HSBC เช่นเดียวกัน ในช่วงระหว่างการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum ประจําปี 2567 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งต่างเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการลงทุนในไทย และไทยยินดีที่จะอำนวยความสะดวกผ่านมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน
ผลสำรวจบริษัทในไทยมีแผนขยายธุรกิจใน 2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ผลการวิจัยของ HSBC Global Connections (https://www.business.hsbc.co.th/en-gb/campaigns/global-connections) ยังระบุว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่ธุรกิจระหว่างประเทศต้องการเข้ามาลงทุนและมีแผนที่จะขยายธุรกิจภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยปัจจุบันมี 37% ของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในไทย และมีมุมมองเชิงบวกต่อประเทศไทยว่า เป็นประเทศที่น่าลงทุนอย่างมาก เนื่องจากเป็นฐานของการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค และเป็นส่วนสำคัญของ Supply chain ทั่วโลก
สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของ BOI ซึ่งพบว่า กระแสการลงทุนจากต่างชาติจะเข้ามาไทยอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรก ปี 2567 (เดือนมกราคม – มีนาคม 2567) มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 724 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 228,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 พร้อมคาดการณ์ว่า ภายในปี 2567 นี้ จะมีมูลค่าเงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท
“ความร่วมมือระหว่าง BOI และ HSBC ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการทำงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่องของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมซึ่งได้เพิ่มโอกาสให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ สามารถดึงสถาบันการเงินระดับโลกเข้ามาร่วมมือกับไทย เพื่อต่อยอดเพิ่มโอกาสผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ตามนโยบาย Ignite Thailand ขับเคลื่อนระบบการเงินที่แข็งแกร่ง ดึงสถาบันการเงินระดับโลกเข้ามาลงทุน โดยรัฐบาลพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน และยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น” นายชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “คลัง-สรรพากร” ยันเก็บภาษีขายหุ้น ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดการเสียโอกาสเป็นศูนย์กลางทางการเงิน