“เศรษฐา”แจงยิบ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ออกพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

“เศรษฐา”แจงยิบ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ออกพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน ให้เฉพาะคนที่มีเงินเดือนไม่เกิน 7 หมื่น เงินในบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท

  • มีผู้ได้รับสิทธิ์จำนวน 50 ล้านคน
  • ใช้ได้ในเขตอำเภอตามที่อยู่ในบัตรประชาชน
  • ใช้สิทธิ์ผ่านระบบเป๋าตัง
  • ประชาชนได้เริ่มใช้พฤษภาคมปีหน้า

“ในวันนี้ คำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดในการดำเนินนโยบายนี้ คือการออกพระราชบัญญัติ เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งต้องผ่านกระบวนการการตีความโดยกฤษฏีกา”

วันนี้(10พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า “โครงการ Digital Wallet ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่กำลังเป็นความจริง   รัฐบาลได้หาข้อสรุปที่ดีที่สุดในการกระตุ้นและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ผ่านการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 600,000 ล้านบาท ซึ่งจะอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 500,000 ล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคน และอีก 100,000 ล้านบาทในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ  และทุกอย่างที่ผมแถลงในวันนี้ จะยังต้องผ่านกระบวนการตามกฏหมาย และต้องมีมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะสรุปเป็น Final อีกครั้งนึง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

 รายละเอียดที่ดำเนินการ เกิดจากการที่รัฐบาลรับฟังความเห็นจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ และหน่วยงานอื่นๆ  ทำงานร่วมกัน และปรับเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ตให้รัดกุมขึ้น  โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาท ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากรวมกันทุกบัญชีต่ำกว่า 500,000 บาท  เพื่อความชัดเจน  ถ้ารายได้เกิน 70,000 บาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 500,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ  หรือ ถ้ารายได้น้อยกว่า 70,000 บาท แต่มีเงินฝากมากกว่า 500,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิเช่นกัน  โดยให้สิทธิใช้ครั้งแรกในเวลา 6 เดือนหลังจากโครงการเริ่ม  และขยายพื้นที่การใช้จ่ายให้ครอบคลุมระดับอำเภอ ตามที่ได้รับฟังความเห็นมา 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

นอกจากนี้จะใช้เงินกองทุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  ภายใต้งบประมาณ 100,000 ล้านบาท และส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ  เช่น เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาบุคคลากรทางการศึกษา เป็นต้น  ซึ่งกองทุนนี้จะใช้ในการดึงดูดผู้มีความสามารถให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องต่อไป 

“ผมยังยืนยันความตั้งใจที่จะให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้  เพราะฉะนั้น รัฐบาลจะออกโครงการ e-Refund ให้คนไทยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท  โดยให้ใบกำกับภาษี มาประกอบการยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีให้ท่าน เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้รับสิทธิ Digital Wallet ก็สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นด้วย” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

นโยบายทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อประเทศใน 2 ด้าน คือ กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้นโดยมี “ประชาชนทุกภาคส่วนเป็นกลไกที่สำคัญผ่านการบริโภคและการลงทุน” และการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ E-Government ซึ่งเป็นการวางและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศในระยะยาว

“ นี่ไม่ใช่การสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้  แต่เป็นการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านสิทธิการใช้จ่าย เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาล (Partnership) ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ยังรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐทุกประการ  ผมขอให้ประชาชนทุกคนที่ได้รับสิทธิร่วมกันใช้จ่ายด้วยความภาคภูมิใจ  โดยทุกคนล้วนเป็นผู้ร่วมสร้างการเจริญเติบโตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศของเรา”นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายเศรษฐากล่าวว่า หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยประสบความสำเร็จมาแล้วจากการส่งเสริมการจับจ่ายใช้สอยในประเทศด้วยการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน  โดยทำควบคู่ไปกับการส่งออกและการท่องเที่ยว จึงฟื้นฟูเศรษฐกิจได้รวดเร็ว ทุกคนยิ้มแย้มสดใส มีรายได้ ความเหลื่อมล้ำก็ลดลง นโยบายการอัดฉีดเงิน ไม่ได้เป็นนโยบายที่แปลกประหลาด

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

ตัวอย่างอื่นในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น หรือเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ก็มีนโยบายที่คล้ายๆกัน ยกตัวอย่างของญี่ปุ่น ก็อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเป็นจำนวน 13.2 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท  แม้ว่าจะปรับตามค่าครองชีพและจำนวนประชากรแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นก้อนเงินที่ใหญ่กว่าที่เราเคยพูดคุยกันมา  จะเห็นว่ารัฐบาลต่างๆ ก็มีมาตรการหลายรูปแบบ โดยล้วนมีจุดประสงค์ที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาเจริญเติบโตต่อไปได้

“รัฐบาลไทยเองก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการดำเนินโครงการ Digital Wallet 10,000 บาทที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้  นโยบายนี้ คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้เข้าถึงทุกพื้นที่ ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว  เงินทั้งหมดในโครงการนี้ จะถูกส่งตรงไปให้กับประชาชนทุกคนที่ผ่านเงื่อนไขเข้าไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล  ขอบเขตการใช้งาน จะใช้ได้กับร้านค้าที่อยู่ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชนของท่าน ย้ำนะครับ “อำเภอ” ซึ่งปรับขยายมาตามความเห็นของทุกภาคส่วน และต้องจ่ายเงินกันแบบ Face-to-face”นายเศรษฐากล่าว

ส่วนเรื่องของระยะเวลา 6 เดือนสำหรับการใช้ “ครั้งแรก” ก็ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้เงินมีการหมุนเวียน และหากไม่ได้ใช้ สิทธิที่เหลืออยู่ก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ  และเงินที่ถูกใช้และเข้าไปอยู่ในระบบแล้ว จะสามารถใช้จับจ่ายต่อได้จนถึงเดือนเมษาปี 2570  เงินก้อนนี้ไม่ได้มาจากการเสกเงิน สร้างเงิน พิมพ์เงิน หรือออกเหรียญผ่าน Initial Coin Offering แต่อย่างใด พูดให้ชัดๆว่า ไม่ได้มีการเขียนโปรแกรมสร้างเงินเหมือน Cryptocurrency ต่างๆ และไม่ได้เป็นการนำเงินไปซื้อเหรียญมาแจก และนำไปเทรด แลกเปลี่ยน โอนให้กันและกัน เก็งกำไร ไม่ได้

ไม่มีการนำไปเทรดบน Exchange ทั้งหลาย ตลาดหลักทรัพย์ ตลาด crypto ใดๆทั้งสิ้น เงินตัวนี้จะมีที่มาจากเงินบาท และมีมูลค่าเป็นเงินบาท ที่มีเงื่อนไขในการใช้งาน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูงกว่าอัดฉีดที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น  เงิน 1 บาทในโครงการนี่้ ก็คือ 1 บาทในกระเป๋าเงินของทุกท่าน ที่สามารถใช้จ่ายได้ โครงการนี้ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ ทั้งร้านค้า และยืนยันรับสิทธิโดยประชาชน

“เรื่องของเงื่อนไข ซื้ออะไรได้ ไม่ได้ ผมขอพูดตรงนี้ให้ชัด ประชาชนจะสามารถจะใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับบริการได้ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้ ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม ไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้ ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้ ไม่สามารถจ่ายค่าเรียน ค่าเทอมได้ ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้ แลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ส่วนเรื่องประเภทร้านค้า ขอชี้แจงให้ชัดว่าใช้ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่ได้จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี ไม่จำเป็นต้องจด VAT ร้านค้ารถเข็น ร้านโชว์ห่วย ร้านค้าที่อยู่บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ใช้ได้หมด แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น

การจับจ่ายใช้สอยจะต้องเริ่มที่ชุมชนระดับอำเภอก่อนเสมอ ซึ่งเป็นการรดน้ำทั่วประเทศให้เขียวไปพร้อมๆกัน ทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจนี้ เงินตัวนี้จะเป็นเงินที่ให้ประชาชนช่วยกันกอบกู้เศรษฐกิจ ซึ่งจะนำมาสู่การลงทุนในภาคประชาชน ทั้งการรวมเงินในครัวเรือนเพื่อประกอบอาชีพ การซื้อ-ขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงการสั่งผลิตสินค้าในโรงงาน SME ไปจนถึงโรงงานขนาดใหญ่

“หลายท่านอาจจะกังวลว่านโยบายนี้จะทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อเราย่ำแย่หรือไม่  ต้องขอชี้แจงว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันของไทย อยู่ในสภาวะที่ต่ำอยู่แล้ว ทำให้โครงการนี้จะไม่ส่งทำให้อัตราเงินเฟ้อก่อให้เกิดผลเสียต่อพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน การดำเนินโครงการจะมีแผนบริหารจัดการโครงการที่ดี จึงประมาณการรายจ่ายแหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการทั้งหมดตามที่กล่าวมาข้างต้น รัฐบาลจึงปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ ตามข้อเสนอแนะของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”นายเศรษฐากล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากตอนหาเสียง จนวันที่จัดตั้งรัฐบาล  ผมกล่าวไว้ว่าเราจะให้ประชาชนทุกคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไปอย่างเท่าเทียมกัน รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 54.8 ล้านคน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ประชาชนเป็นหัวใจหลัก เป็นกลไกที่สำคัญการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับเงื่อนไขต่างๆ  โดยเป็นข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของประชาชน นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ฯ และอีกหลายหน่วยงาน ที่รัฐบาลนำมาปรับปรุงเป็นเงื่อนไขใหม่ โดยให้สิทธิกับเฉพาะผู้ที่มีเงินเดือนไม่ถึง 70,000 บาท และ มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท แปลว่า

เงินในส่วนที่เหลือของโครงการ รัฐบาลจะนำมาใส่ในกองทุนเพื่อลงทุนพัฒนาประเทศ เช่น กองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ซึ่งบริหารและดูแลโดย คณะกรรมการฯ ที่มี BOI เป็นผู้จัดการ เป็นต้น  ส่วนคนที่ไม่ได้รับสิทธินี้จะมีส่วนอย่างไรได้บ้าง รัฐบาลก็อยากขอให้พวกท่านช่วยกันมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเราจะออกโครงการ e-Refund  ซึ่งประชาชนจะได้รับภาษีคืนจากการจับจ่ายสินค้าและบริการรวมมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท จากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี และเฉพาะที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบ electronics เท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่จูงใจให้ให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้น มุ่งไปสู่การเป็น e-Government ในอนาคต

เรื่องของที่มาที่ไปของ เลข 70,000 บาท และ 500,000 บาท ว่ามาจากไหน  ครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า 70,000 หรือมีเงินในบัญชีรวม 500,000 บาท มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่าอีกกลุ่มอย่างมีนัยยะสำคัญ  ท่านอาจจะบอกว่าครอบครัวนึงเฉลี่ยมี 3 คน ต้องเป็นเลขประมาณ 23,000บาท  แต่จุดประสงค์นโยบายนี้คือทำให้ประชาชนได้รับสิทธิอย่างทั่วถึงมากที่สุด จึงเป็นไปได้ว่าบางครอบครัวที่มีรายได้จากคนเดียว ก็ควรได้รับสิทธิด้วย จึงเป็นที่มาของเลข 70,000 บาท ส่วนเลข 500,000 บาท ก็มาจากการคำนวณว่าถ้าคนเงินเดือน 70,000บาท มีแนวโน้มที่จะมีเงินเก็บไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท ทำให้ประเมินได้ว่าคนที่มีเงินเก็บ 500,000 และคนที่มีเงินเดือน 70,000 เป็นคนกลุ่มเดียวกัน โดยเลขเหล่านี้ จะพิจารณาจากฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง

จากเงื่อนไขและการศึกษาทั้งหมด ทำให้กลั่นกรองผู้ได้รับสิทธิในโครงการ Digital Wallet เหลือประมาณ 50 ล้านคน  และจะใช้วงเงินในโครงการนี้เหลือเพียงประมาณ 500,000 ล้านบาท และเงินอีก 100,000 ล้านบาท จะสามารถนำใช้ในการผลักดันต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของประเทศได้ เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา เป็นต้น

สำหรับวิธีการใช้สิทธิ์นั้น จะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ซึ่งมีประชาชนลงทะเบียนอยู่แล้ว 40 ล้านคน และมีร้านค้าที่คุ้นเคยอยู่แล้วกว่า 1.8 ล้านร้านค้า ระบบเป๋าตังมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว ซึ่งจะลดระยะเวลา ประหยัดงบประมาณ และลดความซ้ำซ้อนในการสร้างและดูแลรักษาระบบ กระทรวงการคลังเอง ก็มีความคุ้นเคยในการกำกับดูแลและบริหารจัดการ ป้องกันการทุจริตต่างๆ โดยจะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ให้สามารถทำงานโดยมี Blockchain อยู่ด้านหลังเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งระบบ Blockchain จะทำให้รัฐป้องกันการทุจริตได้ และหากมีใครฝ่าฝืนแก้ไข ทุจริต ระบบก็จะสามารถตรวจสอบได้ทันที การมีระบบ Blockchain จะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการทำ e-Government ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สร้างความโปร่งใส ลดการทุจริตได้อย่างเป็นรูปธรรม

ขณะที่เรื่องของแหล่งเงินทุนในโครงการทั้งหมดนี้ ได้พิจารณาแหล่งเงินทุนที่เป็นไปได้อย่างรอบคอบ ซึ่งไม่ได้มองแค่การใช้ตัวเลือกใดตัวเลือกนึง ได้ดูถึง Hybrid option ที่ผสมผสานหลายๆแนวทางด้วย ในวันนี้ คำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดในการดำเนินนโยบายนี้ คือการออกพระราชบัญญัติ เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งต้องผ่านกระบวนการการตีความโดยกฤษฏีกา เพื่อให้การออก พ.ร.บ. กู้เงินดังกล่าว เป็นไปอย่างรอบคอบ รัดกุม และไม่ขัดต่อหลักกฏหมายที่เกี่ยวข้องการออก พ.ร.บ.. จะมีความโปร่งใส ภายใต้การตรวจสอบถ่วงดุลในระบบรัฐสภา และมั่นใจว่า ในที่สุดแล้วจะได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภา

และเป็นไปตามมาตรา 53 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญณัติการกู้เงินดังกล่าวจะระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน  ระยะเวลาในการกู้เงิน แผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ วงเงินที่อนุญาตให้ใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ในโครงการ Digital Wallet ให้เป็นไปด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และรัฐบาลจะทำการกู้เงิน ก็ต่อเมื่อ มีการนำเงินไปใช้และนำมาขึ้นเป็นเงินสด  ซึ่งนี่จะเป็นการทำให้เงินในระบบทั้งหมดใหญ่ขึ้นกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะหมุนเวียนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยยะ ผสมกับงบประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวไปทั้งหมด

“ทุกท่านไม่ต้องห่วงเรื่องของการใช้เงินคืน รัฐบาลจะมีแผนจัดสรรเงินงบประมาณมาเพื่อจ่ายคืนเงินส่วนที่เป็นเงินกู้ตลอดระยะเวลา 4 ปี”นายเศรษฐากล่าว

นโยบาย Digital Wallet นี้ เป็นเพียงนโยบาย “เริ่มต้น” ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและขอยืนยันว่าโครงการดังกล่าวไม่ได้มุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชน  ยังมีอีกหลายนโยบาย หลายโครงการ ที่จะเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคม Empower ภาคประชาชนให้เข้มแข็งทางเศรษฐกิจ  ตามด้วยการปรับปรุงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ซึ่งมีประชาชนกว่า 1 ใน 3 เกี่ยวข้อง โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ แก้ปัญหาเรื่องน้ำให้เพียงพอ จัดหาที่ดินทำกินให้กับประชาชน 

อีกด้านนึง รัฐบาลก็จะดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมภายในประเทศ เสริมขีดความสามารถตั้งแต่ภาคการศึกษาไปจนถึงอุตสาหกรรม  เดินหน้าปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญของเศรษฐกิจ โดยได้ออกมาตรการลดราคาพลังงานไปก่อนหน้านี้แล้ว  จะวางโครงสร้างพื้นฐานทั้งความคิด สิ่งปลูกสร้าง การเชื่อมต่อ เพื่อเสริมขีดความสามารถของประเทศไทย เพื่อให้เป็นจุดศูนย์กลางทั้งเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาค และสุดท้าย รัฐบาลไม่ลืมที่จะแก้ปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภาคสังคม หนี้สิน ยาเสพติด และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งรัฐบาลได้ทยอยออกมาตรการมาให้เห็นไปแล้ว เช่น พักหนี้เกษตรกร ดูแลหนี้สินจากช่วงโควิด เป็นต้น

“จากจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ผมมั่นใจว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคม ทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดียิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน หลายภาคส่วนที่กังวลว่าหนี้สาธารณะเราจะเป็นอย่างไร ผมขอชี้แจงว่า การกู้เงินเพื่อมาใช้ในโครงการนี้ จะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ  และโครงการนี้จะตามมาด้วยโครงการและมาตรการอื่นๆ ที่จะนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% เฉลี่ยตลอด 4 ปี และทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศเราลดลง  หากเราไม่ได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนี้สาธารณะของเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆเพราะฉะนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นมาตรการที่จำเป็นในการพลิกฟื้นสภาพเศรษฐกิจ ในขณะที่ยังรักษากรอบวินัยการเงินการคลังเป็นอย่างดี” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สำหรับไทม์ไลน์ของ โครงการ Digital Wallet นั้น  จะใช้ระยะเวลาในการตีความโดยกฤษฏีกา และกระบวนการกฎหมายช่วงปลายปีนี้ นำเข้าสู่สภา ช่วงต้นปีหน้า จัดเตรียมงบประมาณ และเปิดให้ประชาชนได้ใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปีหน้า แต่ก่อนหน้านั้น จะมีโครงการ e-Refund ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป และโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถจะสามารถดำเนินการได้เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป และทุกอย่างที่แถลงไปวันนี้ จะต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฏหมาย และได้รับมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ทำงานอย่างรัดกุม ก่อนจะเข้า ครม. เพื่อให้ได้รับอนุมัติอย่างชัดเจนต่อไป