

ได้ฤกษ์ ตั้ง คกก. สอบปม “เทวดา สคบ. ”พร้อมส่ง”ประเสริฐ”เซ็นพรุ่งนี้ วางกรอบ 30 วัน ย้ำสคบ.เรียกผู้บริหารบริษัท-ดารา พบพรุ่งนี้
น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการร้องเรียน บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ซึ่งมีการเผยแพร่คลิปเสียง ระบุมีเทวดาที่สคบ. เรียกรับผลประโยชน์ว่า เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมมากที่สุดในการตรวจสอบประเด็นนี้ จะมีการเชิญคนนอกเข้ามาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ ได้ประสานบุคคลที่มีชื่อเป็นคณะกรรมการครบแล้ว แต่ด้วยช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหลายอย่าง ว่ามีการพาดพิงหน่วยงานภายนอก และบุคคลภายนอกด้วย เพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพ จึงต้องยกระดับการตรวจสอบ โดยเสนอให้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง วางไว้ 8 คน
เมื่อถามว่า เบื้องต้นได้มีการขีดเส้นกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบหรือไม่ น.ส.จิราพร ตอบว่า กรอบเวลาที่วางไว้ไม่เกิน 30 วัน สำหรับตัวโครงสร้างคณะกรรมการ ในโครงสร้างใหญ่ จะมีตัวแทนสำนักอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และตัวแทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้มีกรณีคลิปเสียง โดยปรากฏชื่ออย่างเช่น พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมีภาพนายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จะมีการตรวจสอบอย่างไรบ้าง เนื่องจากเป็นแคนดิเดตเป็นเลขาธิการสคบ.น.ส.จิราพร กล่าวว่า คณะกรรมการที่จะแต่งตั้งขึ้นมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นว่าตามข้อเท็จจริง คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทั้งหมด
เมื่อถามว่า ตอนนนี้หลายคนเริ่มตั้งคำถามการปรากฏภาพกับนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ก่อตั้งบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป กับทางสคบ.เยอะมาก น.ส.จิราพร กล่าวว่า จึงเป็นที่มาของการตั้งคนนอกเข้ามาเป็นคณะกรรมการสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในอนาคต โดยคณะกรรมการชุดนี้จะให้ข้อเสนอแนะและให้ข้อแนะนำเชิงนโยบายด้วย เพื่อการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการในระยะยาวต่อไป
เมื่อถามว่า จะสะสางกรณีมีการระบุเจ้าหน้าที่รับผลประโยชน์ในการสอบสวนในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ น.ส.จิราพร กล่าวว่า การสอบสวนรวมประเด็นทุกอย่างที่เป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน คณะกรรมการมีหน้าที่ศึกษาข้อเท็จจริงก็จะดูทั้งหมด ทั้งกรณีคลิปเสียงเกี่ยวถึงใครและจะนำสู่การแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง จะครอบคลุมทั้งหมด
นางสาวจิราพร เปิดเผยอีกว่า ในเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ต.ค.ทาง สคบ.ได้เรียกผู้บริหารบริษัท และดารา เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลกับทางสคบ.ซึ่งผลการสอบ จะส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย เพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งประเด็นที่สคบ.จะพูดคุยกับบริษัท ทั้งพ.ร.บ.ขายตรง และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ในประเด็นการโฆษณาต่างๆ ก็จะดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับสคบ.เพื่อให้ทางบริษัทให้ข้อมูลและข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ความคืบหน้ายอดผู้ร้องทุกข์เข้ามาร้องทุกข์กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานจะทะลุพันคน เป็นจำนวนความเสียหาย 380 ล้านบาท ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน พยานบุคคล วัตถุ เอกสาร เพื่อให้เกิดความรัดกุมที่สุด ในการตั้งข้อกล่าวหา
เมื่อถามว่า ผู้เสียหายบางคนมีความสับสนว่าพอแจ้งเป็นคดีอาญาแล้ว
ในเรื่องการสืบทรัพย์เพื่อเยียวยา ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง น.ส.จิราพร กล่าวว่า ประชาชนสามารถไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในส่วนศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อให้ข้อมูลกับทางตำรวจ ส่วนขั้นตอนหลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจ ยืนยันว่า ไม่ต้องกังวล ในเรื่องที่จะได้รับการเฉลี่ยทรัพย์ เนื่องจากหากตำรวจได้ข้อเท็จจริง และข้อกล่าวหาที่ชัดเจนแล้ว จะส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง ปปง. และหากเกี่ยวข้องกับดีเอสไอก็จะส่งเรื่องต่อไปให้เช่นเดียวกัน ย้ำว่า ทุกหน่วยงานกำลังรวบรวมสรรพกำลังในตอนนี้ เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงให้กับประชาชน
น.ส.จิราพร ยังเปิดเผยด้วยว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และมีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหามาตรการป้องกันในระยะยาว ซึ่ง สตช.เอง ก็เป็นศูนย์กลางในการรับเรื่องร้องเรียนในการสอบสวนข้อเท็จจริงกับหน่วยงานอย่าง สคบ. และกระทรวงการคลังที่ดูแลเรื่องแชร์ลูกโซ่ ให้ไปดูกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
เมื่อถามว่า กรณีมีพระภิกษุสงฆ์เกี่ยวข้องด้วย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศฺ) จะต้องช่วยมาดูแลในประเด็นนี้อย่างไร น.ส.จิราพร กล่าวว่า เราทราบดีอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี เข้าใจความกังวลของประชาชนว่า เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับหลายหน่วยงาน ทางรัฐบาลเองก็จะมีการตั้งคณะกรรมการ เพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็น ส่วนพระสงฆ์จะต้องเข้าให้ข้อมูลด้วยหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
น.ส.จิราพร กล่าวว่า สำหรับกรณีการมอบโล่ให้บริษัทดังกล่าว จากการสืบสวนข้อเท็จจริงของ สคบ.พบว่า มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ อย่างที่เรียนไปว่า โล่รางวัลนี้เป็นรางวัลเกี่ยวกับกับสาธารณะประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ ซึ่งวันที่ 16 ต.ค.สคบ.จะไดมีหนังสือแจ้งไป ส่วนจะมีความผิดเพิ่มเติมหรือไม่ คณะกรรมการจะสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ชำแหละ “ดิไอคอนกรุ๊ป” มหากาพย์แห่งความโลภ